คิดเห็นแชร์ : ‘สวัสดีปีฉลู ที่ไม่หมูแน่นอน’
คอลัมน์ : คิดเห็นแชร์ (มติชนออนไลน์)
ผู้เขียน : นายณัฐพล รังสิตพล (อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม)
สวัสดีปีฉลูแฟนๆ คิดเห็นแชร์ทุกท่านครับ ในวาระวิถีปีใหม่นี้ ผมขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และที่สำคัญขอให้เราทุกคนรอดพ้นจากโรคโควิด-19 เพราะตั้งแต่เข้าสู่ปี 2564 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้ประสบกับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ส่งผลให้มีตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เราทุกคนต้องกลับมาเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการดำรงชีวิตอีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่า การระบาดระลอกใหม่นี้จะอยู่กับเราไปอีกพักใหญ่ และอาจส่งผลให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมซึ่งกำลังฟื้นจากวิกฤตระลอกแรก กลับมาได้รับความบอบช้ำหนักยิ่งกว่าเดิม
ย้อนกลับไปเมื่อกลางปี 2563 ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกแรกนั้น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้นำร่องปรับแนวทางการส่งเสริมผู้ประกอบการภายใต้ความปกติใหม่ (New normal) ทันที ผ่านมาตรการ “ฟื้นฟูอุตสาหกรรมไทย ดีพร้อมทันที 90 วัน” โดยได้ปรับรูปแบบการฝึกอบรมสัมมนาด้วยการนำเทคโนโลยีแพลตฟอร์มออนไลน์มาใช้ขณะเดียวกัน ได้ให้คำปรึกษาแนะนำผู้ประกอบการผ่านระบบการประชุมสื่อสารทางไกล โดยใช้เครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Zoom, Facebook Live, Google Meet, Microsoft Team หรือ Line เป็นต้น ซึ่งสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการรายหลายที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ในระลอกแรกได้อย่างทันท่วงที พลิกวิกฤต สร้างโอกาส สร้างองค์ความรู้ ปรับรูปแบบการทำธุรกิจให้ผู้ประกอบการสามารถยืนหยัดท่ามกลางวิกฤตได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่า วิกฤตการณ์นี้จะคลี่คลายไปในทิศทางใด หรือจะมีการระบาดซ้ำอีกหรือไม่ ซึ่งทุกคนต่างฝากความหวังไว้ว่า การมีวัคซีนจะสามารถช่วยหยุดยั้งความร้ายกาจของไวรัสตัวนี้ ไม่ให้ทำร้ายสุขภาพมนุษย์และทำลายเศรษฐกิจไปมากกว่าเดิม แต่กว่าจะถึงวันนั้น คงมีผู้ประกอบการอีกจำนวนไม่น้อย ที่อาจได้รับผลกระทบจนแทบจะเดินต่อไม่ไหวในปี 2564 นี้ จึงเป็นปีแห่งความท้าทายของทุกๆ คนที่จะต้องร่วมมือกัน เพื่อปรับตัว ปรับใจ ปรับรูปแบบการใช้ชีวิตเพื่อให้อยู่กับความปกติใหม่นี้ได้
กสอ.ได้ปรับแนวทางการดำเนินงานในปี 2564 โดยนำข้อมูลผลลัพธ์จากการดำเนินงานโครงการ “ฟื้นฟูอุตสาหกรรมไทย ดีพร้อมทันที 90 วัน” มาวิเคราะห์และประมวลผล เพื่อต่อยอดกำหนดเป็นนโยบายที่เหมาะสมกับบริบทการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในเชิงรุกให้เกิดการปรับตัวของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมตามวิถีปกติใหม่ได้อย่างทันท่วงที โดยได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านนโยบาย “สติ : STI” ประกอบด้วยจุดเน้น 3 ปัจจัยเร่งด่วนสำคัญ คือ
1.ทักษะเร่งด่วน (Skill) โดยการเรียบเรียงชุดทักษะ (Skill Set) ในการปรับธุรกิจ เช่น ทักษะวิชาตัวเบา (Lean) เพื่อใช้ในการบริหารจัดการต้นทุนในการทำธุรกิจ เป็นต้น รวมถึงทักษะในการปรับอาชีพ (Up-skill & Re-skill) เพื่อพัฒนาต่อยอดจากทักษะเดิมของอาชีพที่อาจถูกดิสรัปต์ เช่น พนักงานธนาคารที่อยากเปลี่ยนอาชีพเป็นผู้ประกอบการ โดยมีองค์ความรู้ด้านการเงินและบัญชีเป็นทุนเดิม สามารถนำทักษะความรู้ดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อทำธุรกิจของตนเองได้ เป็นต้น
2.เครื่องมือเร่งด่วน (Tools) โดยมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม เพื่อสร้างโซ่อุปทาน (Supply chain) ให้ธุรกิจภายในประเทศมีความเข้มแข็ง ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในไทย รวมถึงสร้างองค์ความรู้ด้านการเงินเพื่อชุบชีวิตผู้ประกอบการที่เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินให้มีศักยภาพในการชำระหนี้ และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน อีกทั้งยกระดับนิเวศอุตสาหกรรมเพื่อให้ผู้ประกอบสามารถเข้าถึงเครื่องมือในการช่วยทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) ศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (THAI-IDC) เป็นต้น
3.อุตสาหกรรมเร่งด่วน (Industry) โดยมุ่งเน้นให้ “เกษตรอุตสาหกรรม” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย บีซีจีโมเดล (BCG Model) ที่รัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ และต้องการผลักดันให้เป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สร้างคนเก่งกลับถิ่น เช่น คนว่างงาน นักศึกษาจบใหม่ เป็นต้น ที่กลับถิ่นฐานบ้านเกิด โดยนำองค์ความรู้ ทักษะหรือประสบการณ์ที่เคยทำงานในภาคอุตสาหกรรม ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพ เพื่อพัฒนาชุมชนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคการเกษตร รวมทั้งเน้นสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพในอนาคต ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่จุดเด่นในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าหรือบริการ ดังจะเห็นได้จากบริษัทที่เป็น Start up ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการบริหารจัดการการให้บริการหรือสินค้าที่มีนวัตกรรม เป็นต้น
สุดท้ายนี้ ไม่มีใครรู้ว่าโควิด-19 จะอยู่กับเราไปอีกนานเท่าใด หรือจะเกิดการระบาดใหม่ขึ้นอีกกี่ครั้ง แต่เชื่อได้ว่าเราจะสามารถก้าวผ่านวิกฤตปีฉลู ที่ไม่มีคำว่าหมู ในปี 2564 นี้ไปได้ ปีนี้จึงเป็นปีแห่งความท้าทายของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการปรับตัวให้อยู่กับความเป็นปกติใหม่ โดยจะไม่รอให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม ท่ามกลางปัจจัยลบจากความปกติใหม่ เราจะผลิตวิกฤต สร้างโอกาส และสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมให้เศรษฐกิจในไทยเข้มแข็ง เบนเข็มทิศรายที่พึ่งพาเงินบาทแรกจากต่างประเทศ ย้อนกลับมาสร้างเงินบาทแรกจากภายในประเทศ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก สร้างเศรษฐกิจในไทยให้เข้มแข็ง
ให้เราก้าวผ่านวิกฤตแห่งความท้าทายนี้ไปด้วยกันเป็นกำลังใจให้ทุกท่านก้าวผ่านปีฉลูที่ไม่หมู…อย่างฉลุยครับ!
ที่มา
https://www.matichon.co.th/economy/news_2565024
06
ก.พ.
2021