ระยะที่ 6 : สร้างเครือข่ายสู่สากล


26 มิ.ย. 2563    อภิมุข    1,903

 

2546

ริเริ่มโครงการกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น

จากสถิติของการส่งออกสินค้าในกลุ่มแฟชั่นของไทย พบว่ามีแนวโน้มการส่งออกที่ลดลงตั้งแต่ พ.ศ. 2545 และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจึงเห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเพิ่มศักยภาพหรือเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจอุตสาหกรรมแฟชั่น นำไปสู่ความร่วมมือกันของภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันโครงการกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น ภายใต้การจัดสรรงบประมาณกว่า 1,300 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2546 ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีคำสั่งจัดตั้งสำนักงานบริหารโครงการกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2546 การดำเนินงานโครงการนี้ ใช้ยุทธศาสตร์ของ “การตลาดด้านแฟชั่น” เป็นตัวนำการพัฒนาทั้งระบบคือ ฉุดดึงและสร้างมูลค่าเพิ่มในทุกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “แฟชั่น” ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำครบวงจร เพื่อให้ขยายตัวและเติบโตไปด้วยกัน โดยมีแนวคิดการพัฒนาใน 3 มิติ คือ สร้างคน สร้างธุรกิจ สร้างเมือง ดังนี้


มิติการสร้างคน : โครงการศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านแฟชั่น โครงการศูนย์รวบรวมแนวโน้มแฟชั่นโลก โครงการรวบรวมผลงานแฟชั่นนักออกแบบไทย

 

มิติการสร้างธุรกิจ : โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันธุรกิจแฟชั่น สาขาอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันธุรกิจแฟชั่นสาขาอุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันธุรกิจแฟชั่น สาขาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ

 

มิติการสร้างเมือง : โครงการจัดงานแสดงสินค้า โครงการเจาะตลาดเป้าหมาย โครงการสร้างภาพลักษณ์กรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น


โครงการดังกล่าวมีระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี (พ.ศ. 2546 - 2548) โดยแบ่งระยะเวลาดำเนินโครงการระยะแรก 1 ปี 6 เดือน (เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2546) เพื่อระดมกำลัง ความคิดความสามารถในการดำเนินยุทธศาสตร์ ผลักดันให้กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางแฟชั่น (Fashion Center) ของภูมิภาคใน พ.ศ. 2548 และเป็นศูนย์กลางแฟชั่นแห่งหนึ่งของโลกภายใน พ.ศ. 2555

 

2547

เพิ่มโอกาสผ่านโครงการพัฒนาการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม (Cluster)

สืบเนื่องจากการที่สถาบันศศินทร์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ได้เชิญศาสตราจารย์ไมเคิล อี.พอร์เตอร์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มาให้คำแนะนำในฐานะเป็นที่ปรึกษาโครงการศึกษาพัฒนาขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศไทย และมาบรรยายพิเศษในหัวข้อ “Thailand’s Competitiveness : Creating the Foundations for Higher Productivity” เมื่อ พ.ศ. 2546


หนึ่งใน 6 แนวทางหลักที่ศาสตราจารย์พอร์เตอร์ ได้เสนอแนะไว้ คือ การที่ภาครัฐและเอกชนจะต้องประสานงานร่วมกันเพื่อสร้างคลัสเตอร์ (Cluster) หรือกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อเป็นเครื่องมือและกลไกอันสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศ


กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทในการปฏิบัติ และขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างและพัฒนาการรวมกลุ่มคลัสเตอร์ ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ลงวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2547 ภายใต้กรอบของคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (National Committee on Competitive Advantage : NCC)


โดยได้เริ่มดำเนินการส่งเสริมกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่อุปทานเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมนั้น ๆ มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2546 ซึ่งปัจจุบันสามารถสร้างและพัฒนาการรวมกลุ่มได้ประมาณ 58 กลุ่ม โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ ๆ เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมยางพารา อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป

 

2548

เริ่มความร่วมมือกับต่างประเทศอย่างเป็นระบบ

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมดำเนินการเพื่อพัฒนาและช่วยเหลือผู้ประกอบการ ภายใต้การดำเนินงานส่วนหนึ่งที่ได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหประชาชาติ โดยมีการจัดทำโครงการขอรับความช่วยเหลือในแทบทุกสาขาต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีต จนมาถึง พ.ศ. 2548 จึงได้เริ่มโครงการความร่วมมือกับต่างประเทศอย่างเป็นระบบ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

 

โครงการความร่วมมือกับ GTZ (พ.ศ. 2548)

ช่วง พ.ศ. 2548 - 2549 ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันของไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลผลิตน้ำมันปาล์มของไทยทั้งหมดร้อยละ 63 ใช้บริโภคในประเทศ ร้อยละ 30 ใช้เพื่อการผลิตไบโอดีเซล และส่วนที่เหลือร้อยละ 7 เพื่อการส่งออก ปาล์มน้ำมันจึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตที่ประชาชนให้ความสนใจ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจึงร่วมมือกับสำนักงานเพื่อความร่วมมือทางวิชาการแห่งประเทศเยอรมนี (GTZ) จัดทำโครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมในพื้นที่

 

ความร่วมมือครั้งนี้ เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มทั้งระบบ ทั้งด้านการส่งเสริมให้กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจชุมชน เกิดการรวมกลุ่มคลัสเตอร์น้ำมันปาล์ม เพื่อสร้างเครือข่ายและสร้างความเชื่อมโยงระหว่างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มและเกษตรกรเครือข่าย ด้านการส่งเสริมเกษตรกรให้มีการคัดเลือกพันธุ์ปาล์มและวิธีการปลูกปาล์มน้ำมันทดแทนต้นเก่า ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การตลาด รวมถึงการพัฒนาบุคลากรในโรงงาน โดยมีการนำร่องที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก่อนที่จะขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป

 

ความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น (พ.ศ. 2552)

วิกฤตการเงินโลกใน พ.ศ. 2551 ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกหดตัวอย่างรุนแรง รวมถึงเศรษฐกิจไทย ประกอบกับขณะนั้นปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของไทยเริ่มคลี่คลายลง


กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมุ่งเน้นการมองไปข้างหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับภาคอุตสาหกรรม สร้างความเชื่อมั่นให้นักธุรกิจต่างประเทศมากขึ้น และตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ


โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศไทยมาเป็นเวลาช้านาน และที่ผ่านมาญี่ปุ่นยังเป็นคู่ค้าและเป็นนักลงทุนที่สำคัญอันดับหนึ่งของไทยมาโดยตลอด จึงได้หารือกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan External Trade Organization : JETRO) และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA)


เพื่อความร่วมมือในการดำเนินงานโต๊ะญี่ปุ่น (Japan Desk) เพื่อให้ข้อมูลและคำปรึกษากับผู้ประกอบการไทยที่สนใจจะทำธุรกิจร่วมกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่น และผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทย รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการประสานความร่วมมือและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐไทยกับภาครัฐญี่ปุ่น และภาคเอกชนไทยกับภาคเอกชนญี่ปุ่น ความร่วมมือดังกล่าวได้สนับสนุนการทำธุรกิจทั้งด้านการค้าและการลงทุนในระยะเวลาต่อมา

 

ร่วมมือกับ JICA พัฒนา SMEs ในภูมิภาค (พ.ศ. 2553)

ในโอกาสครบรอบ 120 ปี ในการสถาปนาทางการทูตระหว่างไทย - ญี่ปุ่น และการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (Japan - Thailand Economic Partnership Agreement : J-TEPA) ทั้งสองประเทศจึงจัดตั้งคณะอนุกรรมการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมไทย – ญี่ปุ่น ขึ้น เพื่อเร่งสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในเชิงรุกด้านต่างๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs เช่น โครงการพัฒนาเครื่องมือและวางระบบส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs ในภูมิภาค


โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรภาคอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยความร่วมมือกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ในการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นเพื่อมาให้คำปรึกษาแนะนำในการพัฒนาเครื่องมือและระบบในการให้บริการ SMEs ในภูมิภาค โดยนำร่องที่จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ตอนบน มีระยะเวลาดำเนินโครงการประมาณ 2 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2552 – 2554 ปรากฏว่าโครงการนำร่องทั้งสองพื้นที่ได้รับผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ และเป็นไปตามเป้าประสงค์และแผนงานที่วางไว้เป็นอย่างดี


นอกจากนั้นยังมีความร่วมมือในการขยายช่องทางการตลาดของ SMEs ขององค์การเพื่อการส่งเสริมเอสเอ็มอีและนวัตกรรมภาคแห่งประเทศญี่ปุ่น (Small & Medium Enterprises and Regional Innovation : SMRJ) ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงาน SMES Expo ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้พื้นที่กับผู้ประกอบการไทยที่มีผลงานนวัตกรรมเข้าร่วมแสดงในงาน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแสดงงาน จำนวน 16 ราย และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี รวมทั้งมีผู้สนใจเข้ารับข้อมูลจากผู้ประกอบการภายในงานไม่ต่ำกว่า 100 ราย

 

ร่วมมือกับ UNIDO จัดทำ รายงานการพัฒนาอุตสาหกรรม (พ.ศ. 2555)

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน จึงร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) จากประเทศเวียดนาม จัดทำรายงานการพัฒนาอุตสาหกรรม (Industrial Development Report 2011) ภายใต้ชื่อ “ประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมสำหรับการสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืน : กับสิ่งแวดล้อมเงินปันผลเศรษฐกิจและสังคม” (Industrial energy efficiency for sustainable wealth creation: capturing environmental, economic and social dividends)

รายงานดังกล่าวเป็นผลการดำเนินงานของ UNIDO ซึ่งระบุว่าจากปริมาณการใช้พลังงาน ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประเทศกำลัง พัฒนามุ่งลดช่องว่างระหว่างรายได้กับจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น โดยใช้หลักการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน

ผลจากรายงานนี้มุ่งหวังว่า จะส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีผลิตภาพเพิ่มมากขึ้น โดยในการดำเนินงานUNIDO จะสนับสนุนงบประมาณ ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมให้การสนับสนุนสถานที่และประสานงานภาคเอกชนไทย มีเป้าหมายให้ภาคเอกชนไทยเข้าร่วมโครงการ 100 โรงงาน และผลักดันแนวทางนี้สู่ประเทศในกลุ่มอาเซียนต่อไป

โครงการฯ นี้มีเป้าหมายเชื่อมโยงกัน 3 ส่วนได้แก่ การเข้าถึงบริการทางพลังงานที่ทันสมัยอย่างกว้างขวาง เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว

 

2549

ปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการเพิ่มเติม

เพื่อให้การดำเนินงานของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีความสอดคล้องกับยุคสมัย และให้บริการประชาชนได้อย่างเต็มที่ จึงมีการปรับโครงสร้างหน่วยงานตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมทั้งปรับแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ให้เป็นระบบมากขึ้น โดยเน้นการสร้างและพัฒนารูปแบบ แนวทาง และขั้นตอนการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ซึ่งนำไปสู่การปรับโครงสร้างหน่วยงานใหม่ออกเป็น 4 กลุ่ม

 

ได้แก่ กลุ่มบริหารและแผนงาน กลุ่มเทคโนโลยีและการจัดการ กลุ่มอุตสาหกรรมรายสาขาและกลุ่มผู้ให้บริการ โดยในแต่ละกลุ่มประกอบด้วยหน่วยงานระดับสำนัก ทำหน้าที่สร้างและพัฒนารูปแบบการส่งเสริมอุตสาหกรรมและทำงานในลักษณะเชื่อมโยงบูรณาการกัน ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงการให้บริการผู้ประกอบการและวิสาหกิจ

 

ต่อมาในปี 2550 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ดำเนินการปรับโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2549 โดยมีการปรับปรุงและพัฒนาส่วนราชการและวิธีปฏิบัติงาน ตลอดจนระบบการบริหารบุคคลให้ทันสมัย รองรับกับยุทธศาสตร์และคำรับรองการปฏิบัติราชการของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมีการจัดตั้งสำนักบริหารยุทธศาสตร์ และปรับเปลี่ยนสำนักงานเลขานุการกรม เป็นสำนักบริหารกลาง รวมทั้ง แยกสำนักพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ เป็นสำนักพัฒนาการจัดการอุตสาหกรรม และสำนักพัฒนาผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างคล่องตัวและดูแลได้ทั่วถึง ทั้งนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2551

 

2551

จัดตั้งศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้าเซรามิกและหัตถอุตสาหกรรมลำปาง

นับจากที่มีการก่อตั้งศูนย์พัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องเคลือบดินเผาภาคเหนือ ซึ่งปัจจุบันคือ ศูนย์พัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิก มาตั้งแต่ พ.ศ. 2532 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ดำเนินการรูปแบบต่างๆ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมเซรามิก จังหวัดลำปางอย่างต่อเนื่อง


โดยในปี พ.ศ. 2551 ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชนของจังหวัดลำปาง จัดตั้งศูนย์แสดงและจำหน่วยสินค้าเซรามิกและหัตถอุตสาหกรรมลำปาง เพื่อเป็นอาคารศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้าเซรามิกและสินค้าหัตถอุตสาหกรรมของจังหวัดลำปางที่ครบวงจร เป็นทั้งศูนย์กลางของการเจรจาการค้า (Business Center) ระหว่างผู้ผลิตและผู้ซื้อ เป็นแหล่งบริการข้อมูล ข่าวสารและองค์ความรู้ต่างๆ ทั้งด้านการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด การบริหารจัดการ


โดยให้บริการในลักษณะศูนย์บริการธุรกิจ (Business Opportunity Center : BOC) เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงกลุ่มอุตสาหกรรมของจังหวัดลำปางให้เป็นที่รู้จัก และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และเพื่อเป็นศูนย์กลางการส่งเสริมการตลาดทั้งในระดับประเทศและระดับต่างประเทศ

 

จัดตั้งสมาพันธ์สมาคมอุตสาหกรรมสนับสนุน

อุตสาหกรรมสนับสนุนเป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ช่วยสร้างมูลค่าการลงทุนเป็นจำนวนมาก และเป็นหัวใจสำคัญต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของนักลงทุนที่ต้องการจะย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย เดิมทีกลุ่มอุตสาหกรรมแต่ละกลุ่มมีการรวมตัวกันเป็นชมรมและสมาคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือกันในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันอยู่แล้ว สมาคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่งจึงทำหน้าที่เป็นตัวแทน หรือตัวกลางนำเอาความต้องการจากสมาชิกส่วนใหญ่มาแจ้งให้ภาครัฐรับทราบ และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในฐานะตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ จะนำเอาความต้องการของผู้ประกอบการมากำหนดนโยบาย วางแผนขับเคลื่อนและออกแบบกิจกรรมส่งเสริมให้ตรงกับความต้องการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่อุตสาหกรรมนั้น ๆ

สมาพันธ์สมาคมอุตสาหกรรมสนับสนุน (Alliance For Supporting Industries Association หรือ A.S.I.A) เป็นการรวมตัวของ 10 หน่วยงาน ประกอบด้วย สมาคมเครื่องจักรกลไทย สมาคมไทยโลจิสติกส์และการผลิต สมาคมผู้ประกอบธุรกิจวัตถุอันตรายสมาคมสมองกลฝังตัวไทย สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย สมาคมอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ไทยสมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกไทย สมาคมผู้ค้าเครื่องปรับอากาศ และสมาคมไทยคอมโพสิทโดยมีสมาชิกรวมกันทั้งสิ้นกว่า 5,000 รายเพื่อผนึกกำลังและสร้างความร่วมมือในการเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการในการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมสนับสนุนของประเทศมีความเข้มแข็ง สร้างความร่วมมือและเชื่อมโยงกันระหว่างสมาชิก และประสานความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนกับหน่วยงานภาครัฐ

 

จัดตั้งศูนย์เครือข่ายบริการทดสอบ วิเคราะห์ วิจัยด้านอุตสาหกรรม

การผลิตของภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ช่วยสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศได้อย่างมหาศาล เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จึงมีแนวคิดก่อตั้งศูนย์การวิจัยและทดสอบตามมาตรฐานสากลขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาศูนย์ทดสอบในต่างประเทศ โดยร่วมกับสถาบันวิจัย KOBELCO ประเทศญี่ปุ่น จัดตั้งโครงการศูนย์เครือข่ายบริการทดสอบ วิเคราะห์ วิจัยด้านอุตสาหกรรม (Technical Service Network Center : TSNC) ขึ้น เปรียบเสมือนตัวกลางในการประสานความต้องการของลูกค้าในภาคการผลิตที่ต้องการตรวจสอบมาตรฐานของสินค้า และสร้างความเชื่อมั่นให้กับอุตสาหกรรมของเมืองไทย


ในเบื้องต้นศูนย์แห่งนี้มีหน้าที่จัดส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบยังศูนย์เครือข่าย สถาบันที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ สถาบันยานยนต์ (TAI) สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย (ISIT) สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (EEI) สถาบันอาหาร (NFI) สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (THTI) สถาบันไทย-เยอรมัน (TGI) สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ (TPI) โดยศูนย์เครือข่ายแต่ละแห่งนั้นจะมีห้องทดสอบ หรือห้องแล็บอยู่แล้ว ในขณะที่สถาบันวิจัย KOBELCO จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบสินค้าและการวิจัยในด้านต่าง ๆ เข้าไปให้ความรู้ และฝึกอบรมแก่เจ้าหน้าที่ของศูนย์เครือข่าย เพื่อให้การทดสอบและวิจัยนั้น ๆ ได้มาตรฐานเดียวกันกับสถาบันวิจัย KOBELCO ประเทศญี่ปุ่น จึงสร้างความมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบจาก TSNC จะเป็นที่ยอมรับในเวทีการค้าโลก ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยสู่สากล และช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการในการนำสินค้าที่ผลิตไปทดสอบยังต่างประเทศ

 

ริเริ่มโครงการสร้างและพัฒนาผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม

วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย ส่วนใหญ่ยังขาดทรัพยากรและบุคลากรที่มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ การมีผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์คอยเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำและสนับสนุนธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็นมาก นี่คือความสำคัญของ “ผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม” (Service Provider : SP) หรือที่ปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consultant) ซึ่งจากการศึกษาของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมพบว่า ยังมีจำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการของธุรกิจ และผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีอยู่มีสภาพที่กระจัดกระจาย ขาดศูนย์รวมที่จะเชื่อมโยงข้อมูลและการดำเนินการให้เป็นเอกภาพ

 

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจึงได้กำหนดแนวทางในการพัฒนาผู้ให้บริการ ซึ่งสามารถรองรับและช่วยยกระดับคุณภาพของธุรกิจ SMEs ให้อยู่รอดและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน แบ่งเป็น 4 ส่วนคือ การพัฒนาผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม การพัฒนาระบบรับรองคุณภาพ ผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม การส่งเสริมและสนับสนุนเครือข่ายผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม และการส่งเสริมและสนับสนุนกลไกการใช้บริการผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรมให้แพร่หลายและมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลจากการดำเนินงานพบว่า สามารถพัฒนาศักยภาพของที่ปรึกษาทางธุรกิจและสร้างเครือข่ายการเป็นที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอย่างมีคุณภาพ

 

2554

การช่วยเหลือสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย

มหาอุทกภัยใน พ.ศ. 2554 มีความรุนแรงและสร้างความเสียหายให้กับนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง รวมทั้งสถานประกอบอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่างๆ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจึงเร่งดำเนินการช่วยเหลือและฟื้นฟูภาคการผลิตและแรงงานอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนไทยและต่างประเทศ โดยเบื้องต้นได้จัดศูนย์พักพิงสำหรับผู้ประสบอุทกภัย จำนวน 5 ศูนย์ และประสานความช่วยเหลือจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ซึ่งได้จัดรถสูบน้ำพร้อมอุปกรณ์จำนวน 10 คัน พร้อมผู้เชี่ยวชาญจำนวน 30 คน เพื่อช่วยเหลือด้านการระบายน้ำออกจากเขตนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ บางกะดี และนวนคร ทำให้โรงงานในนิคมฯ หลายแห่งทยอยกลับเข้าสู่ระบบการผลิตได้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว

นอกเหนือจากการส่งรถและผู้เชี่ยวชาญมาช่วยแล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นยังได้ส่งมอบความช่วยเหลือด้านสิ่งของและอุปกรณ์ที่จำเป็นผ่านองค์กรต่างๆ รวมมูลค่า 1,000 ล้านเยนหรือประมาณ 400 ล้านบาท

 

ฟื้นฟูสถานประกอบการ SMEs หลังน้ำลด

อุทกภัยที่เกิดขึ้นครั้งใหญ่ในรอบ 70 ปี ในประเทศไทย ตั้งแต่กลางปีถึงปลายปี 2554 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ภาคอุตสาหกรรมการผลิตหลายส่วนต้องหยุดชะงักชั่วคราว ส่งผลกระทบต่อการส่งออกที่เริ่ม ชะลอตัวจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยมุ่งเน้นกลุ่ม SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยในปี พ.ศ. 2554 ครอบคลุม 31 จังหวัด ภายใต้งบกลางที่ได้รับจัดสรรจากรัฐบาล 148 ล้านบาท เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2555 โดยการดำเนินงานกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งในด้านการให้คำปรึกษาแนะนำเบื้องต้น และการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกช่วยเหลือกิจการในด้านต่าง ๆ ตามสภาพปัญหาของแต่ละแห่ง

จากนั้นช่วยกระตุ้นตลาดด้วยการจัดพาผู้ประกอบการออกแสดงสินค้าและจับคู่ธุรกิจ มีการจัดสัมมนาให้ความรู้เรื่องการฟื้นฟูสถานประกอบการ พร้อมทั้งจัดทำเว็บไซต์ www.ช่วยน้ำท่วม.com เพื่อเป็นศูนย์กลางความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมกันนี้ ได้จัดคลินิกอุตสาหกรรมและให้บริการเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 1 เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปฟื้นฟูกิจการ ซึ่งผลการดำเนินงานได้รับผลเป็นที่น่าพอใจแม้ว่างบประมาณและระยะเวลาดำเนินงานจะมีจำกัดคือ มีระยะเวลาดำเนินการเพียง 5 เดือน (เมษายน - สิงหาคม พ.ศ. 2555)

 

2555

การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปครบวงจร

อุตสาหกรรมอาหารไทยมีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุดในอาเซียน และจากสถานการณ์การส่งออกอุตสาหกรรมอาหารไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า มูลค่าการส่งออกมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องกว่าร้อยละ 20 ต่อปี โดยสถิติ พ.ศ. 2554 อาหารแปรรูปของไทยมีมูลค่าการส่งออกกว่า 7 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เป็นรายได้หลักของประเทศ อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมอาหารของไทยยังประสบปัญหาด้านการรักษามาตรฐานและประสิทธิภาพของการผลิต ขาดการวิจัยและพัฒนาอาหาร ทั้งยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐที่สามารถบูรณาการความร่วมมือเพื่อพัฒนาห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ


กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจึงมีแนวคิดที่จะเริ่มต้นพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารผ่านการวิจัยและพัฒนา ด้วยเชื่อว่าจะสามารถผลักดันให้ประเทศไทยก้าวกระโดดไปข้างหน้าและผลิตอาหารให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก ผ่านโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปครบวงจร (Thailand Food Valley) หัวใจสำคัญคือ การเชื่อมต่อระหว่างภาครัฐ หน่วยงานมหาวิทยาลัย และบริษัทเอกชน


โดยกำหนดพื้นที่ซึ่งมีความพร้อมเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปอย่างเป็นระบบ เชิญชวนองค์กรธุรกิจเข้ามาลงทุนและมีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม โดยการสนับสนุนงบวิจัยและสิ่งอำนวยความสะดวกจากภาครัฐ ซึ่งจะแก้ไขปัญหาภาคเกษตรได้ อีกทั้งยังเพิ่มคุณค่าและมูลค่าแก่ผลิตภัณฑ์อาหารของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกไม่เฉพาะแค่การเป็น “ครัวของโลก” เท่านั้น

 

เตรียมความพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ใน พ.ศ. 2558 ประเทศไทยจะเข้าสู่กติกาเศรษฐกิจใหม่ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ซึ่งจะก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายการผลิตการลงทุน แรงงานฝีมือ การค้าการบริการและเงินทุนระหว่างประเทศในกลุ่มอย่างเสรี การเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่ AEC จึงเป็นภารกิจสำคัญของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม


ที่ผ่านมากรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้มีการวาง Roadmap to AEC เริ่มต้นจากจัดทำโครงการเตรียมความพร้อมและสร้างเครือข่ายความร่วมมือภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีหลักสูตรที่เน้นให้ผู้ประกอบการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและผลกระทบต่อกิจการ หลักสูตรการประเมินศักยภาพและความสามารถของกิจการตนเอง เพื่อการแข่งขันในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จากนั้นมีการประมวลผลในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อนำไปจัดทำแผนที่ธุรกิจ (Roadmap) เข้าสู่ AEC ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรม เกษตรแปรรูป อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอและเครื่องนุ่มห่ม เป็นต้น โดยหัวข้อการบรรยายจะมีการปรับให้เหมาะกับผู้เข้าอบรมในแต่ละสาขาอุตสาหกรรมและแต่ละพื้นที่เป้าหมายของโครงการนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมและเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการเข้าสู่ AEC ทั้งด้านเทคโนโลยี ด้านบุคลากร ด้านเงินทุน และด้านการผลิต รวมถึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศในสาขาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ


ใน พ.ศ. 2556 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมุ่งเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ 9 สาขา คือ อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ อุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมสินค้าไลฟ์สไตล์อุตสาหกรรมรองเท้าและผลิตภัณฑ์เครื่องหนังและอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยมีรูปแบบการดำเนินกิจกรรม 4 รูปแบบ ประกอบด้วยกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการสาขาเป้าหมาย กิจกรรมสร้างและพัฒนาบุคลากรภาคอุตสาหกรรม กิจกรรมพัฒนาสถานประกอบการเป้าหมาย และกิจกรรมสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ