วิธีการจัดทำและวิเคราะห์งบการเงิน
จากบทที่แล้วที่ได้กล่าวถึง เทคนิคการวิเคราะห์การเงิน 4 เทคนิค ซึ่งอธิบายถึงประโยชน์และรูปแบบการวิเคราะห์งบการเงินในแต่ละเทคนิคไปแล้ว สำหรับบทนี้จะเป็นเรื่องของการจัดทำและเตรียม spread sheet เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ เปรียบเหมือนกับการทำอาหารที่ยากขึ้นก็ต้องเตรียมทั้งวัตถุดิบและเครื่องปรุงซึ่งมีวิธีการหั่นและเตรียมที่มากขึ้น หากไม่เตรียมเลยก็คงทำอาหารไม่ได้อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับการวิเคราะห์งบการเงินในแบบเทคนิคที่หนึ่งถึงสาม เราสามารถจัดทำให้อยู่ในไฟล์เดียวกันก็ได้แต่อาจอยู่ในคนละ worksheet ผู้อ่านหลายท่านคงอยากถามว่าถ้าใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นจะเตรียมวิเคราะห์ได้ไหม ขอตอบว่าได้แต่จะใช้เวลานานมาก ควรใช้คอมพิวเตอร์ทำการวิเคราะห์จะช่วยในการประหยัดเวลามากขึ้น หากทำไม่ได้จริงๆก็ต้องเขียนและคำนวณทีละบรรทัดซึ่งก็คงใช้เวลาในการจัดทำนานไป แต่เพื่อความสะดวกสำหรับผู้สนใจจะวิเคราะห์งบการเงิน ทาง BSC ได้จัดทำspread sheet เพื่อกรอกตัวเลขของงบได้เลย โดยจะแนบไฟล์ที่เป็นแบบฟอร์มให้ในแต่ละเทคนิคที่ใช้ เพียงท่านกรอกตัวเลขเฉพาะช่องที่ไฮไลท์เป็นสีเหลืองเท่านั้น เพราะช่องที่ไม่ใช่สีเหลือง มีการผูกสูตรไว้และล๊อคไม่ให้เติมตัวเลขได้ โดยสามารถจำแนบเป็นเทคนิคต่างๆ ดังนี้
การวิเคราะห์แบบแนวนอน (Horizontal Analysis) บางครั้งก็เรียก Comparative analysis เป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบรายการแต่ละรายการเป็นปีต่อปี รายการต่อรายการเพื่อดูว่ารายการใดที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง มีทั้งเป็นจำนวนเงินและเป็นเปอร์เซ็นต์
จากตัวอย่างข้างบน เราก็จะทราบว่าสินทรัพย์รวมของปี 2557 น้อยกว่าปี 2556 อยู่ 10,000 บาท หรือน้อยกว่าร้อยละ 1.85 ซึ่งอาจมาจากการตัดค่าเสื่อมราคาของโรงงานและเครื่องจักร 20,000 บาท รวมทั้งการลดลงของลูกหนี้การค้า 35,000 บาท สำหรับเงินสดในปี 2557 สูงกว่าปี 2556 จำนวน 20,000 บาทและกิจการยังมีสินค้าคงเหลือมากขึ้นในปี 2557 อีกจำนวน 25,000 บาท การวิเคราะห์แนวนอนสามารถทำได้ทุกงบโดยเฉพาะอย่างยิ่งงบกำไรขาดทุนจะทำให้เราทราบว่ายอดขายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงินเท่าใด และเพิ่มขึ้นอีกกี่เปอร์เซ็นต์
การจัดทำ spread sheet ทาง BSC จะจัดทำให้เฉพาะงบกำไรขาดทุน เพื่อให้ผู้สนใจกรอกตัวเลขของกิจการที่ต้องการวิเคราะห์เองได้ โดยให้ใส่ตัวเลขในช่องที่ไฮไลค์สีเหลืองเท่านั้น ผู้สนใจดาวน์โหลด แบบฟอร์มวิเคราะห์แบบแนวนอนได้ ที่นี่ Download เมื่อคุณได้กรอกรายละเอียดก็ลองวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของรายการที่น่าสนใจก่อน เช่น ยอดขาย ต้นทุน ค่าใช้จ่าย กำไร สำหรับผู้ที่ต้องการวิเคราะห์งบดุลด้วยก็อาจจะต้องเพิ่มเติมรายการเอง
การวิเคราะห์แบบแนวตั้งหรือแนวดิ่ง (Vertical analysis) มีอีกชื่อว่า Common-size Analysis เป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบในปีของตนเองแต่ละปีแล้วค่อยนำผลไปเปรียบเทียบกับปีอื่นๆ สำหรับงบกำไรขาดทุนเราจะใช้ยอดขายเป็นหลักและเป็นตัวหารของรายการทั้งหมดที่อยู่ในงบกำไรขาดทุนเพื่อให้ทราบว่าเป็นสัดส่วนเท่าใดต่อยอดขายของรายการนั้น สำหรับงบดุล (งบแสดงฐานะทางการเงิน) เราจะใช้สินทรัพย์รวมเป็นตัวหารสำหรับด้านสินทรัพย์ และสำหรับด้านหนี้สินบวกทุนเราก็จะใช้หนี้สินบวกทุนรวมเป็นตัวหาร หรือเราจะใช้สินทรัพย์รวมเป็นตัวหารเลยก็ได้เพราะงบดุลเป็นงบที่ทั้งสองฝั่งเท่ากันตามสมการบัญชีของงบดุล คือ สินทรัพย์ = หนี้สิน+ทุน
จากภาพข้างบน เป็นการวิเคราะห์งบจำนวนสองปีในแบบแนวตั้ง เราพอวิเคราะห์ได้ว่าเงินสดในปี 2556 เป็นสัดส่วนต่อสินทรัพย์รวมน้อยกว่าปี 2557 คือเป็นร้อยละ 12.04 ในปี56 แต่เป็นร้อยละ 16.04 ในปี 57 รายการที่มีสัดส่วนสูงสุดคือสินทรัพย์ซึ่งเป็นโรงงานรวมทั้งเครื่องจักรที่สูงถึงร้อยละ 52.77 ในปี 56 และร้อยละ 50 ในปี 57 ที่รองลงมาก็คือลูกหนี้การค้าที่มีสัดส่วนต่อสินทรัพย์ร้อยละ 28.7 ในปี 56 และ22.64 ในปี 57 เราก็จะสรุปได้ว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่ของกิจการคือโรงงานและเครื่องจักรรองลงมาคือลูกหนี้การค้า และที่สามคือเงินสดในมือสำหรับปี 56 แต่เป็นสินค้าคงเหลือในปี 57
จากตัวอย่างการวิเคราะห์แบบแนวตั้งของงบกำไรขาดทุน จะเห็นว่าเราจะใช้ยอดขายเป็นตัวหารซึ่งทำให้เท่ากับ 100% และนำยอดขายไปหารกับรายการอื่นทำให้ทราบว่ารายการนั้นมีสัดส่วนเป็นเท่าไรต่อยอดขาย ต้นทุนขายในปี 2557 เท่ากับ 54.72% มีกำไรหลังหักภาษี 17.71% ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเป็น 23.14% หากเรามีตัวเลขปี 2556 หรือปีอื่นๆจำนวนหลายปีมากขึ้นเราก็จะวิเคราะห์ได้มากขึ้นว่าสัดส่วนกำไรสุทธิต่อยอดขายปีใดสูงและปีใดต่ำรวมทั้งทำให้ทราบว่าต้นทุนต่อยอดขายของแต่ละปีเป็นเท่าไหร่
ผู้สนใจที่จะฝึกวิเคราะห์สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มการวิเคราะห์งบการเงินแบบแนวตั้งได้ ที่นี่ Download และขอให้กรอกตัวเลขเฉพาะช่องสีเหลืองเท่านั้น
การวิเคราะห์แบบแนวโน้ม (Trend analysis)เป็นการวิเคราะห์คล้ายแบบแนวนอนแต่ต่างกันที่ใช้ปีแรกที่จะวิเคราะห์เป็นปีฐาน เช่นเริ่มปี 2554 ก็ใช้ตัวเลขของปี 54 เป็นปีฐาน การวิเคราะห์แนวโน้มควรจัดทำอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไปเพื่อดูแนวโน้มในอนาคตว่ารายการต่างๆในงบการเงินนั้นจะดีขึ้นหรือแย่ลง เช่นดูยอดขายก็จะทราบว่าแนวโน้มยอดขายดีขึ้นหรือแย่ลงได้ หากมีขึ้นบ้างลงบ้างไม่แน่นอนเราก็ต้องหาสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไรเพื่อวางแผนธุรกิจได้ในอนาคต
จากตัวอย่างรูปด้านบน เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าแนวโน้มเงินสดในมือมีจำนวนมากขึ้น เพราะจากปีฐานคือปี 2554 เท่ากับ 100% ค่อยๆเพิ่มขึ้นจาก 104.84, 137.10 จนปี57 เพิ่มเป็น 155% จากปี 54 สำหรับรายการที่ลดลงคือลูกหนี้การค้า, โรงงานและเครื่องจักรซึ่งค่อยๆลดลงทุกปีและลงต่ำกว่าปีฐาน (ปี 54) ซึ่งรายการลูกหนี้การค้าที่น้อยลงเราถือว่าดีเพราะหมายถึงเราเก็บหนี้ได้ดีขึ้นแต่ทั้งนี้เราก็ต้องไปดูยอดขายด้วยว่าดีขึ้นหรือไม่หากยอดขายดีขึ้นลูกหนี้น้อยลงก็ถือว่าผลการดำเนินงานดีขึ้น จากตัวอย่างนี้จะเห็นว่าสินทรัพย์รวมมีแนวโน้มที่น้อยลงทุกปี อาจเป็นเพราะไม่ได้ซื้อเครื่องจักรเพิ่มก็ได้และในขณะเดียวกันก็มีการหักค่าเสื่อมราคาทุกปี การจัดทำการวิเคราะห์แบบแนวโน้มนี้ผู้สนใจสามารถไปดาวน์โหลดแบบฟอร์มเพื่อกรอกตัวเลขในการวิเคราะห์ได้ ที่นี่ Download (กรอกเฉพาะช่องสีเหลืองเท่านั้น)
การวิเคราะห์ทั้งสามเทคนิคที่อธิบายมาข้างต้น ทำให้ผู้วิเคราะห์ทราบถึงสถานะการณ์ของกิจการได้ดีขึ้นรวมทั้งนำตัวเลขแนวโน้มมาวางแผนตลาดและการเงินได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังสามารถไปจัดทำประมาณการงบการเงินในอนาคตได้ด้วย
26
พ.ย.
2564