Category
สุริยะ สั่งการ ดีพร้อม นำเอสเอ็มอี ฝ่าวิกฤตคลัสเตอร์โรงงานโควิด-19
สุริยะ สั่งการ ดีพร้อม นำเอสเอ็มอี ฝ่าวิกฤตคลัสเตอร์โรงงานโควิด-19 กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) หรือ “ดีพร้อม” เร่งช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในโรงงาน ผ่านการติวเข้มทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติเพื่อเติมวัคซีนความรู้เฉพาะทางด้านอาชีวอนามัย ประยุกต์ใช้งานโปรแกรมดิจิทัลเพื่อช่วยลดความแออัดในโรงงาน พร้อมปรับใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมในการบริหารจัดการสถานประกอบการให้ปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19 รวมทั้งแชร์ประสบการณ์ตรงจากผู้ประกอบการต้นแบบเพื่อฝ่าวิกฤตโควิด-19 คาดว่าสามารถช่วยพยุงเอสเอ็มอีทั่วประเทศให้พร้อมรับมือและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงานได้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันระลอกใหม่นี้ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน รวมถึงผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการรายย่อย ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะที่กำกับและดูแลโรงาน สถานประกอบการภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ได้เห็นถึงความสำคัญและได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือในการส่งเสริม สนันสนุนเทคโนโลยีดิจิทัล และองค์ความรู้ต่าง ๆ เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงในภาคอุตสาหกรรมและสถานประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผมจึงได้สั่งการให้ “ดีพร้อม” เร่งจัดคอร์สเฉพาะกิจเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเน้นเสริมความรู้ที่จำเป็นสำหรับบริหารจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ รวมถึงการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงานและสถานประกอบการให้ได้อย่างทันท่วงที นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระรอกใหม่ ได้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ขณะเดียวกันเศรษฐกิจของประเทศไทย ยังต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการผลิตและส่งออกเป็นหลัก โดยฟันเฟืองสำคัญที่เป็นรากฐานของการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและจีดีพีของไทยกว่าร้อยละ 35 คือ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งยังต้องพึ่งพาแรงงานในการผลิตสินค้าเช่นเดียวกับโรงงานขนาดใหญ่และอาจเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ดังนั้น “ดีพร้อม” ได้ขานรับนโยบายและความห่วงใยของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้สำรวจปัญหาและความต้องการจริงของเอสเอ็มอีทั่วประเทศและนำมาวิเคราะห์เพื่อจัดทำโครงการเร่งด่วน “ช่วยเอสเอ็มอีแบบดีพร้อม นำธุรกิจปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19” ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหาหลักสูตรเกี่ยวกับการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในแบบฉบับของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เน้นทำได้ฟรี ทำได้ไว และใช้ได้จริง โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม เน้นชู 3 มิติ ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน ได้แก่ 1) การปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ด้วยการลดความสูญเสียในกระบวนการผลิต (Lean) และลดความแออัดในโรงงานด้วยโปรแกรมดิจิทัลเฉพาะทางที่พัฒนาโดยคนไทย 2) การประยุกต์ใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมและวิธีบริหารจัดการโซ่อุปทาน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการผลิต และ 3) การเสริมความรู้และเทคนิคด้านสุขอนามัยและอาชีวอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดระหว่างโรงงานและชุมชน โดยมีไฮไลต์สำคัญ คือ การแชร์ประสบการณ์จากผู้ประกอบการต้นแบบในการรับมือและพลิกฟื้นจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในโรงงานที่เกิดขึ้นจริง พร้อมจัดทัพที่ปรึกษาเพื่อให้คำแนะนำด้านอาชีวอนามัยและสุขอนามัยแก่ผู้ประกอบการตามความต้องการ โดยโครงการนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 - 18 มิถุนายน 2564 ในรูปแบบการอบรมออนไลน์ผ่าน Facebook Live ทาง Fanpage : DIProm Station ของดีพร้อมเอง เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมฟังได้อย่างสะดวกและทั่วถึง ทั้งนี้ การดำเนินโครงการในครั้งนี้ มีจุดประสงค์หลักเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันแก่โรงงานและสถานประกอบการที่ต้องอาศัยแรงงานในกระบวนการผลิตให้ปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ที่อาจทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักลง โดยมุ่งเน้นส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการในเชิงรุกผ่านการพัฒนาความรู้ในเชิงทฤษฎีและเสริมด้วยการใช้โปรแกรมดิจิทัลเพื่อให้เกิดการนำไปใช้ได้จริง อีกทั้ง ยังนำเอาองค์ความรู้ในภาคอุตสาหกรรมมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและบริหารจัดการองค์กรให้ผู้ประกอบการสามารถยืนหยัดท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างมั่นคง และรอดพ้นจากความเสี่ยงคลัสเตอร์โรงงานอุตสาหกรรมได้โดยตลอดรอดฝั่ง นายณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย เอกสารประกอบ
10 มิ.ย. 2021
ดีพร้อม เดินหน้าเร่งด่วนเยียวยาผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน ดีเดย์จัดกิจกรรมออนไลน์ 5 วัน ช่วยเหลือรายย่อย อาทิ ขายสินค้า ปรึกษาการเงิน ฯลฯ
ดีพร้อม เดินหน้าเร่งด่วนเยียวยาผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน ดีเดย์จัดกิจกรรมออนไลน์ 5 วัน ช่วยเหลือรายย่อย อาทิ ขายสินค้า ปรึกษาการเงิน ฯลฯ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ขานรับนโยบาลรัฐ ชูนโยบายเร่งด่วน ฟื้นฟูวิสาหกิจชุมชนหลังพิษโควิด-19 จัดกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน อาทิ การจัดงานมหกรรมแสดงสินค้าออนไลน์ หรือ Virtual Event เชื่อมโยงผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนสู่พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กว่า 140 ร้านค้า พร้อมทั้งพบกับกิจกรรมให้คำปรึกษาการเงิน เงินทุนหมุนเวียน และงานสัมมนาโดยวิทยากรชื่อดังระดับประเทศ ด้าน e-Commerce ระหว่างวันที่ 11 – 15 มิถุนายน 2564 ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้อย่างต่อเนื่องทุกที่ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนในวงกว้าง และเพื่อเป็นการขานรับนโยบายรัฐในการพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากเศรษฐกิจฐานรากสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน ดีพร้อมจึงมีโยบายเร่งด่วน เพื่อเยียวยาผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนในสถานการณ์เร่งด่วน ซึ่งมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับชุมชนในการนำความรู้และทรัพยากรในพื้นที่มาผลิตเป็นสินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจฐานรากให้สามารถกระจายรายได้สู่ชุมชน สนับสนุนสินค้าชุมชน และยกระดับวิสาหกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาและขยายช่องทางการตลาด เชื่อมโยงกับระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีคอมเมิร์ซ ผ่านกิจกรรมพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ภายใต้ โครงการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถวิสาหกิจชุมชนคลื่นลูกใหม่ เพื่อการแข่งขันในตลาด New Normal ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ กิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจ กิจกรรมให้คำปรึกษาแนะนำ และกิจกรรมทดสอบตลาด โดยจะมุ่งเน้นการอบรมให้ความรู้ การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การนำแผนงานไปทดลองและปรับปรุงสินค้ารวมถึงการนำสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ปรับปรุงแล้วได้มาตรฐานมีคุณภาพไปทดสอบตลาดทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ ตลอดจนการนำผลการทดสอบตลาดนั้นมาทำแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ดีพร้อมยังให้การส่งเสริมและสนับสนุนพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความสามารถในการบริหารธุรกิจสมัยใหม่การสร้างสรรค์นวัตกรรมทั้งในกระบวนการผลิต การนำเสนอสินค้า การบริการและการตลาด เพื่อสร้างผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนคลื่นลูกใหม่ให้มีองค์ความรู้สามารถวิเคราะห์ธุรกิจตนเอง สามารถแก้ไขปัญหาธุรกิจของตนเองได้เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมของตนเองในสถานการณ์ปัจจุบันได้ ขณะเดียวกัน ดีพร้อม ได้เร่งดำเนินโส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในการขยายช่องทางการตลาดและสร้างรายได้ให้กับชุมชนเพิ่มมากขึ้น โดยการจัดกิจกรรมทดสอบตลาด Market Survey ซึ่งในยุค New Normal ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การตลาดแบบออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทและมีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างมาก ดีพร้อมจึงเร่งผลักดันและพัฒนากลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้ให้มีขีดความสมารถในการเข้าสู่ตลาดออนไลน์ อันจะทำให้ผู้ประกอบการเกิดทักษะประสบการณ์และสามารถเชื่อมโยงเพื่อการแข่งขันในระดับสากลได้อย่างแท้จริง โดยความน่าสนใจของกิจกรรมทดสอบตลาด Market Survey ในครั้งนี้เป็นการจัดงานในรูปแบบ Virtual Event ซึ่งเป็นอีกหนึ่งงานมหกรรมแสดงสินค้าในรูปแบบโลกเสมือนจริงในระบบออนไลน์ที่ดีพร้อมจัดขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในยุคนี้มาใช้ในการจัดกิจกรรม เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดให้ผู้ประกอบการในสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งภายในงานได้รวบรวมสินค้าดีมีคุณภาพจากผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศกว่า 140 ราย อาทิ เสื้อผ้า และเครื่องแต่งกาย ของใช้ ของตกแต่งบ้าน ของที่ระลึก สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร อาหารและเครื่องดื่ม ถือว่าครบจบในงานเดียว นอกจากนั้น ภายในงานยังมีการจัดสัมมนาโดยมีวิทยากรชื่อดังระดับประเทศ ทางด้าน e-Commerce เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจเข้าร่วมอบรมได้ฟรี อาทิ การทดสอบตลาด Market Survey การพื้นฐานการสำรวจและการทำตลาดด้วย Facebook การทำตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยตนเอง (DIY e-Commerce) การดีลกับโรงงานเพื่อสร้างสินค้านวัตกรรม อัปเดตหลังโควิด ภูมิศาสตร์ e-Commerce ของประเทศไทยและพื้นฐานของการขายออนไลน์ ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 - 15 มิถุนายน 2564 รวมระยะเวลา 5 วัน โดยผู้ร่วมงานสามารถเข้าร่วมงานได้อย่างต่อเนื่องทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง และคาดว่าจะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานครั้งนี้เป็นจำนวนมากตลอดระยะเวลาของการจัดงาน เอกสารแนบ
04 มิ.ย. 2021
ขอเชิญผู้รับบริการหรือผู้ติดต่อของหน่วยงานรัฐ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส
การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment 2021 : ITA) แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (EIT) ขอเชิญผู้รับบริการหรือผู้ติดต่อของหน่วยงานรัฐ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส
13 พ.ค. 2021
ขอเชิญชมนิทรรศการเสมือนจริง ภายในงาน THAIFEX – Virtual Trade Show
กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เข้าร่วมกิจกรรมในงาน THAIFEX – Virtual Trade Show 2021 ระหว่างวันที่ 25 - 29 พฤษภาคม 2564 พร้อมแล้ว เตรียมพบกับ ประสบการณ์ใหม่ที่จะยกงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม มาไว้บนโลกออนไลน์ เสมือนจริงแบบ Virtual Driving the next normal ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม "สู่วิถีใหม่" พิธีเปิดวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 เวลา 13.00 น. โดยท่านอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในงานท่านจะได้พบกับการแสดงสินค้า และ Live Webinar พบกับกูรูที่มากด้วยประสบการณ์ที่จะมาแบ่งปันเรื่องราวและความสำเร็จในหัวข้อ การตลาดแบบ Next Normal (Digital Marketing / Social Media / Power of Branding) การเสวนา Driving That’s Products to Next Normal แบ่งเป็น 2 รอบต่อวัน ช่วงเวลา 10.30 - 12.00 น. และเวลา 15.00 -16.30 น. พลาดไม่ได้กับกิจกรรมร่วมสนุก โดยการตอบแบบสอบถาม เพื่อลุ้นของรางวัลมากมาย ขอเชิญท่านติดตามและเข้าเยี่ยมชมได้ ตามลิงค์ www.dipromvirtual.com
12 พ.ค. 2021
ประชาสัมพันธ์ โครงการเรียนออนไลน์ โดยวิทยากรชั้นนำระดับแนวหน้าของประเทศ
เรียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เรียนผ่านระบบออนไลน์ง่ายๆ ในยุคโควิด ใครที่ทำธุรกิจก็อยากมีกำไรและอยากให้ธุรกิจนั้นเติบโตอย่างแข็งแรง การเรียนรู้โลกธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็น และยิ่งถ้าได้เรียนกับนักธุรกิจแถวหน้าที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์จริงให้คุณแบบไม่กั๊ก โอกาสดี ๆ กลับมาอีกครั้ง "โครงการ Agro Beyond Academy รุ่นที่ 2" กิจกรรมการปั้นนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม จัดเต็มด้วยวิทยากรนักธุรกิจชั้นนำ หาฟังได้ยากมากมาย คุณจะได้พบกับวู้ดดี้และแขกรับเชิญคนดังมาร่วมเรียนสดไปพร้อมกัน เรียนออนไลน์อย่างสนุกและได้รับความรู้แบบจัดเต็ม ถามสิ่งที่คุณอยากรู้จากนักธุรกิจตัวจริง เรียนฟรี พร้อมโอกาสเข้าร่วม Workshop เพื่อสร้างคอนเนคชั่นทางธุรกิจ สนใจสมัครคลิก ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.agrobeyond.com #AgroBeyondAcademy #ABA2
12 พ.ค. 2021
ประชาสัมพันธ์โครงการ “Agro Beyond Academy รุ่น 2”
วันนี้ (12 พฤษภาคม 2564) เวลา 20.00 น. โอกาสดี ๆ ที่คุณไม่ควรพลาด LIVE พิเศษ “Super Talk” กับแขกรับเชิญสุดพิเศษชื่อดัง ที่ประสบความสำเร็จจากเกษตรกรรม จะมาร่วมพูดคุย แชร์ประสบการณ์ พร้อมกับข่าวดีจากโครงการ “Agro Beyond Academy รุ่น 2” โครงการดี ๆ ที่กลับมา โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในการเปิดอบรมเรียนออนไลน์ ที่จะทำให้คุณกลายเป็นสุดยอดผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 22 พฤษภาคม 2564 สนใจสมัครคลิก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.agrobeyond.com #AgroBeyondAcademy #SuperTalk #ABA2
12 พ.ค. 2021
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ขอเชิญชวนผู้ประกอบการขอรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย: Made in Thailand (MiT)
”Made in Thailand” ช่วยเพิ่มยอดขายกับภาครัฐ สร้างความน่าเชื่อถือกับคู่ค้า และเปิดโอกาสขยายตลาดสู่ต่างประเทศ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ขอเชิญชวนผู้ประกอบการขอรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย: Made in Thailand (MiT) เพียงท่านเป็นผู้ประกอบการที่มีแหล่งผลิตในไทย ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา สามารถยื่นขอการรับรอง Made in Thailand กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ โดยสินค้าต้องมีสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตในประเทศอย่างน้อย 40% สินค้า Made in Thailand มีแต้มต่อ 60% : ภาครัฐต้องจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ขึ้นทะเบียน MiT อย่างน้อย 60% 90% : มูลค่าหรือปริมาณเหล็กที่ใช้ในงานก่อสร้างของภาครัฐ ต้องใช้เหล็กที่ได้ MiT อย่างน้อย 90% 3% : ผู้ประกอบการไทยสามารถเสนอราคาสูงกว่าผู้ประกอบการต่างชาติที่เสนอราคาต่ำสุด 3% สนใจกรอกรายละเอืยด และ Check ความพร้อมเบื้องต้น สแกน QR code ใน Banner หรือกดปุ่ม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 02-202-4526 / 02-202-4524 E-mail : bmddiprom@gmail.com
11 พ.ค. 2021
คิดเห็นแชร์ : ‘Work From Home เต็มขั้น’ ความปกติใหม่ของใครหลายๆ คน
คอลัมน์ : คิดเห็นแชร์ (มติชนออนไลน์) ผู้เขียน : นายณัฐพล รังสิตพล (อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม) สวัสดีแฟนๆ คิด เห็น แชร์ ทุกท่านครับ Work From Home (WFH) หรือการทำงานจากที่บ้านนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป หลังจากเราผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กันมาตั้งแต่ปี 2563 จนปัจจุบันต้องช่วยกันรับมือเป็นระลอกที่ 3 แล้ว รัฐบาลจึงได้ขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงานให้ปรับรูปแบบการทำงานจากที่บ้านอย่างเต็มขีดความสามารถ เพื่อลดความเสี่ยงและลดการแพร่ระบาดไม่ให้ทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก หากดูจากสถานการณ์ในระลอกนี้ อาจส่งผลให้เราต้องทำงานจากที่บ้านกันอีกพักใหญ่ ดังนั้น เราคงต้องหาแนวทางและวิธีการในการทำงานที่บ้านอย่างไร ให้มีประสิทธิภาพเหมือนกับการมาทำงานที่ออฟฟิศกันครับ ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีงานศึกษาวิจัยเผยแพร่ในเว็บไซต์ Harvard Business Review ได้ศึกษากรณีศึกษาการให้พนักงานทำงานที่บ้านของบริษัทด้านการท่องเที่ยวของประเทศจีน โดยทดลองให้พนักงานทำงานที่บ้านเป็นระยะเวลา 2 ปี พบว่าการทำงานที่บ้านช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ถึง 13% และช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงานได้ถึง 50% ผลจากการศึกษานี้ สรุปได้ว่าการทำงานที่บ้านช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น พนักงานมีความสุขมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายขององค์กร และพนักงานลาออกน้อยลง อย่างไรก็ดี จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายองค์กรได้ปรับให้มีการทำงานที่บ้านมากขึ้น ซึ่งมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานที่บ้านและพบว่ายังมีจุดบกพร่องอยู่ ดังเช่น อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ให้เหตุผลว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ทุกคนต้องอาศัยอยู่ภายในบ้าน หลายคนมีลูกหรือครอบครัวที่ต้องดูแล ต้องนั่งทำงานภายในห้องนอน ไม่มีห้องส่วนตัว หรือต้องแชร์ห้องกับคนอื่น ทำให้มีสิ่งที่รบกวนในการทำงานมากมาย นอกจากนี้ การไม่ได้ไปทำงานที่ออฟฟิศ ยังลดการมีปฏิสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมกับเพื่อนร่วมงาน ลดแรงกระตุ้นในการทำงานลดลง อีกทั้งการทำงานที่บ้านเป็นเวลานาน ยังทำให้เกิดความเหงาและความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สุขภาพจิตแย่ลงอีกด้วย จากประสบการณ์จริงในการทำงานที่บ้านของบริษัทไมโครซอฟท์ (Microsoft) องค์กรยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลก ที่มีนโยบายให้พนักงานทำงานที่บ้านแบบถาวร 100% ตั้งแต่ปี 2020 โดยอาศัยความชำนาญของบริษัทในด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนการทำงานที่บ้านได้เต็มรูปแบบ ซึ่งบริษัทไมโครซอฟท์พบว่า การปรับองค์กรเพื่อทำงานที่บ้าน จำเป็นต้องมี 2 องค์ประกอบหลัก คือ เครื่องมือทางด้านดิจิทัลต่างๆ และนโยบายองค์กรที่มีความยืดหยุ่นและต้องเน้นความสำคัญกับผลลัพธ์ของการทำงาน มากกว่ากระบวนการขั้นตอนในการทำงาน ซึ่งองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ ช่วยให้องค์กรสามารถปรับรูปแบบจากการทำงานที่ออฟฟิศเป็นการทำงานที่บ้านได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ จะเห็นได้ว่าการทำงานที่บ้านให้มีประสิทธิภาพนั้น ประกอบด้วยหลายปัจจัย ถึงแม้ว่าการทำงานที่บ้านจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทาง แต่ก็เพิ่มค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่บ้าน เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ หรือค่าอินเตอร์เน็ต ในขณะเดียวกัน การทำงานที่ออฟฟิศย่อมมีสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกและความพร้อมในการทำงานที่ดีกว่า รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานอย่างใกล้ชิด เกิดประสิทธิภาพในการทำงานที่ดี จากการศึกษาจากประสบการณ์ทำงานที่บ้านจริงในหลายๆ แหล่ง พบว่ามี 5 ข้อแนะนำดีๆ ที่น่าจะนำมาประยุกต์ใช้และเหมาะสมกับบรรยากาศการทำงานแบบไทยๆ จึงอยากแชร์ให้ทุกท่านได้ลองนำไปทดลองปฏิบัติ เพื่อให้การทำงานที่บ้านเกิดประสิทธิภาพที่ดีและมีความสุข ดังนี้ครับ 1.วางแผนการทำงาน โดยมีปฏิทินการทำงาน กำหนดเป้าหมาย จัดทำเช็กลิสต์และบันทึกการทำงาน เพื่อควบคุมการทำงานของตนเอง เนื่องจากการทำงานที่บ้านจะไม่มีทั้งเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานคอยควบคุมหรือกระตุ้นในการทำงาน 2.เตรียมพร้อมสำหรับการติดต่อสื่อสาร โดยก่อนเริ่มงานและเลิกงาน ควรมีการประชุมกับหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน เพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูล ติดตามงานผ่านระบบออนไลน์ เพราะการทำงานที่บ้านเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบเรื่องปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ความสัมพันธ์กับลูกค้า และบุคคลภายนอก ตลอดจนความผูกพันต่อองค์กร 3.สร้างบรรยากาศและจัดสภาพแวดล้อมในมุมที่ใช้ทำงานให้เหมาะสม โดยแยกพื้นที่ทำงานให้ชัดเจน เตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ และแสงสว่าง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานที่มีประสิทธิภาพ 4.ตัดสิ่งเร้าที่คอยรบกวนสมาธิและเบี่ยงเบนความสนใจในระหว่างการทำงานออกไป โดยทำการตกลงกับคนในครอบครัวและแยกตัวออกมาทำงาน ปิดและยกเลิกสิ่งที่คาดว่าจะรบกวนการทำงาน เช่น การดูโทรทัศน์ ฟังเพลง เล่นเกม หรือแม้แต่งานบ้าน เป็นต้น เพื่อให้สามารถโฟกัสในเวลาทำงานได้ดียิ่งขึ้น 5.อาบน้ำและแต่งกายให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มงาน โดยกำหนดเวลาเริ่มงานและเลิกงานให้เหมือนเวลาทำงานที่ออฟฟิศ เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวและรับรู้สัญญาณว่าพร้อมสำหรับการทำงานแล้ว สุดท้ายนี้ เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้เราจำเป็นต้องทำงานจากที่บ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงต้องปรับตัวให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าในช่วงแรกอาจจะยังดูติดขัดและยังไม่คุ้นชิน แต่สถานการณ์จะทำให้เราสามารถปรับตัวจนคุ้นเคยได้ และในที่สุด การทำงานที่บ้านก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งกิจกรรม บนความปกติใหม่ หรือ New Normal ของใครอีกหลายๆ คน ที่ต้องปรับตัวและเรียนรู้ไปด้วยกัน ที่มา : https://www.matichon.co.th/economy/eco-report/news_2712212
09 พ.ค. 2021
เห็ดทอด พริกกรอบ สแน็กสุขภาพ แบรนด์ เอิบอิ่ม ยกระดับกระบวนการผลิตตามมาตรฐานสากล
เพราะอยากให้เกษตรกรและคนรับประทานมีความสุขเอิบอิ่ม อิ่มเอมกาย สบายใจ จึงเป็นที่่มาของแบรนด์เอิบอิ่ม แห่งบริษัท เอิบอิ่ม แอนด์ มี ฟูดส์ จำกัด บริหารกิจการ โดย คุณวรรณา รุ่งคำ เจ้าของฟาร์มเห็ดที่่ผันตัวเองมาเป็น เจ้าของผลิตภัณฑ์แปรรูปเห็ดขอน ที่่มีคุณค่าทางอาหาร และราคาสูง ผลิตภัณฑ์หลักที่ได้รับความนิยมทั้งในประเทศ และต่างประเทศคือ เห็ดทอดปรุงรส ขนมเห็ดอบกรอบ และล่าสุดคือ พริกกรอบ ทำจากพริกขี้้หนููแห้งเม็ดใหญ่ นำไปทอดกรอบและอบเพื่อไล่น้ำมัน รสชาติอร่อยแซ่บแบบไทย ๆ มี 2 รสชาติให้เลือก รสต้นตำรับและรสต้มยำ วาง Position สินค้าให้เป็นขนมเพื่อสุขภาพ จำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารเพื่อสุขภาพชั้นนำและส่งออกต่างประเทศ อาทิ อินเดีย สหรัฐอเมริกา กัมพููชา จีน โดยเฉพาะตลาดประเทศจีน ลูกค้าตอบรับดีมาก ด้วยจุดเด่นขององค์กรที่่มีผลิตภัณฑ์คุณภาพ แปลกใหม่ ได้รับการตอบรับที่่ดีอยู่แล้ว แต่บุุคลากรยังขาด ความรู้ด้านมาตรฐาน GMP CODEX (Good Manufacturing Practices) จึงเข้าร่วมกิจกรรมการส่งเสริมและพัฒนา SMEs เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ระบบมาตรฐานสากล ภายใต้โครงการการเพิ่มศักยภาพและยกระดับเทคโนโลยีอุตสาหกรรมของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับ องค์กรให้มีมาตรฐานมากขึ้น “3 เดือนกับการอบรมทำให้มีความรู้้เกี่ยวกับ ข้อกำหนดมาตรฐานสากลมากขึ้น สิ่งไหนที่่บกพร่อง เราก็แก้ไข ปรับปรุงทั้งเรื่องระบบ การจัดทำเอกสาร และขั้นตอนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพขอบคุณอาจารย์ ที่ปรึกษาและศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 7 ที่่ให้คำแนะนำ และงบสนับสนุน จนเรามีความพร้อมขอรับรองมาตรฐาน GMP CODEX เพื่อรองรับการผลิตที่่มีคุณภาพมาตรฐาน สากลเพื่อการส่งออก” ปัจจุุบันบริษัทได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP Codex เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้มีผลิตภาพจากยอดขาย เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 - 30 คิดเป็นมูลค่า 500,000 บาทต่อปี และมีลูกค้าใหม่จากต่างประเทศ คือ อังกฤษและเยอรมัน ให้ความสนใจนำ ผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายด้วย คุณวรรณา รุ่งคำ บริษัท เอิบอิ่ม แอนด์ มี ฟูดส์ จำกัด : 66 หมู่ที่่ 4 ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ 33150 : 06 4479 4157 : https://www.facebook.com/เอิบอิ่ม-Erb-Im1582133778743596/ , https://www.erb-im.com/ ที่มา : รายงานประจำปี 2563 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
05 พ.ค. 2021
เอนกฟาร์ม ชูจุุดแข็งครบเครื่องเรื่องนกกระทา ตั้งเป้ารุกตลาดส่งออกประเทศเพื่อนบ้าน
เอนกฟาร์มนกกระทา เติบโตจากธุรกิจเล็ก ๆ จนกลายเป็นเจ้าของอาณาจักรฟาร์มนกกระทาขนาดใหญ่ ที่่สุดในอาเซียน ปัจจุุบันบริหารงานโดยคุณพยุงศักดิ์์ สีเขียวสด ทายาทรุ่นที่่ 2 ที่่มีความมุ่งมั่นนำพาธุรกิจให้เติบโต อย่างต่อเนื่อง จากการวางรากฐานของรุ่นคุณพ่อเอนก สีเขียวสด ที่่เริ่มต้นเลี้ยงนกกระทา จำนวน 3,000 ตัว ให้ไข่ประมาณ วันละ 2,000 ฟอง ขยายกิจการด้วยการหาเครือข่ายผู้เลี้ยง นกกระทากับเอนกฟาร์ม โดยใช้วิธีแบ่งรายได้ให้กับคู่ค้า เพื่อให้มีผลผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจุุบันมีเครือข่่ายกว่า 100 ครอบครัวให้ผลผลิตไข่กว่า 20 ล้านฟองต่อเดือน และ มีเงินหมุนเวียนในกลุ่มสูงกว่า 200 ล้านบาทต่อปี มีผลิตภัณฑ์จากนกกระทาจำหน่ายอย่างครบวงจรตั้งแต่ ไข่เชื้อตัวนกกระทา ไข่สด ไข่ต้ม เนื้อแปรรูป เปลือกไข่นก มูลนกและอาหารนก ด้วยกระบวนการผลิตที่่ได้มาตรฐาน มีโรงเรือนทั้งระบบเปิดและระบบปิด รองรับการผลิตที่่ผู้บริโภควางใจ แบ่งสัดส่วนการจำหน่ายในประเทศร้อยละ 70 มีไข่แปรรูปเป็นหลัก รองลงมาคือไข่สด และอีกร้อยละ 30 ส่งออกต่างประเทศในตะวันออกกลาง ยุุโรป อเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากไข่สด เป็นไข่ต้มสุกบรรจุุกระป๋องที่่เก็บได้นานถึง 2 ปีรองรับตลาดส่งออก โดยเฉพาะคุณพยุงศักดิ์์ กล่าวถึงการเข้ามารับช่วงธุรกิจของครอบครัวว่าต้องรักษาคุณภาพและเน้นการพัฒนา เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการได้มาเข้าร่วมโครงการเพิ่มศักยภาพและยกระดับเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (เกษตรแปรรูป) กับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นับเป็นโอกาส ที่่ดีที่่มีผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาแนะนำการลงทุนและต่อยอดธุรกิจ สร้างการเตรียมความพร้อมและปรับตัวให้สามารถดำเนินธุรกิจไปได้ในระยะยาวได้เรียนรู้ Business Model ที่่ทำให้มองธุรกิจได้ไกลและกว้างขึ้น นอกจากนี้ ทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมยังเข้ามาช่วยปรับระบบ การจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ มีการใช้ทรัพยากร อาทิแรงงานคนอย่างคุ้มค่าโดยสามารถลดต้นทุนที่่เกิดจาก แรงงานและเวลาได้ร้อยละ 93.33 หรือคิดเป็นมูลค่า 63,876 บาทต่อปี “ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดููกระบวนการผลิตในโรงงานพบว่า บางแผนกมีจำนวนคนมากเกินไป เช่น ในส่วนของการคัดคุณภาพ เดิมมีประมาณ 10 คน ก็ปรับเหลือ 3 - 4 คน และไปเพิ่มคนในส่วนของการตรวจสอบแทน ซึ่งพอทดลอง ทำก็พบว่าผลที่่ได้รับดีกว่าแบบเดิม สามารถผลิตสินค้า ได้เร็วขึ้น ซึ่งจุดนี้้เหมือนเป็นจุดเล็ก ๆ ที่่เรายังนึกไม่ถึง พอมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยก็พอใจมาก” สำหรับแผนงานในอนาคต คุณพยุงศักดิ์ เผยว่า กำลังขยายโรงงานเพิ่มเพื่อรองรับการผลิตที่่มากขึ้นในด้าน การจำหน่ายในประเทศ ตั้งเป้าหมายว่าจะให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเลือกเจาะกลุ่มลูกค้าทางภาคเหนือ และภาคอีสาน เพราะปัจจุุบันตลาดหลักกว่าร้อยละ 80 อยู่ในโซนภาคใต้เป็นหลัก ส่วนการส่งออกจะมุ่งทำ การตลาด ในประเทศเพื่อนบ้าน คาดว่าตลาดมีความต้องการสูง คุณพยุงศักดิ์์ สีเขียวสด บริษัท เอนกฟาร์ม นกกระทา จำกัด : 57/1 หมู่ที่ 2 ตำบลป่างิ้ว อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง 14000 : 09 2279 4605 : https://www.facebook.com/anekfarmquail/ , https://www.anekfarm.com/ ที่มา : รายงานประจำปี 2563 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
05 พ.ค. 2021