จับตามองการประชุม คณะกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงาน โครงการขอสินเชื่อผลิตภัณฑ์ยาง
โครงการขอสินเชื่อยางเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งในมาตการที่ 2 เพื่อผลักดันและเร่งรัดโครงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้สถาบันเกษตรกรรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้นและการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ นำเงินเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อใช้ในการแปรรูปยาง อีกทั้ง สนับสนุนให้มีการปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อเข้าถึงเกษตรกรมากขึ้น (แนวทางนี้เพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ 3% ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ รัฐบาลได้อนุมัติโครงการแล้ว 2 โครงการ คือโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางเพื่อขยายกำลังการผลิต/ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต วงเงินกู้ 15,000 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยางวงเงินกู้ 10,000 ล้านบาท หมายความว่ารัฐบาลยอมจ่ายเงิน 750 ล้านบาท แทนผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยกู้เงินให้ธนาคารเจ้าหนี้ ในสองโครงการนี้) ในการประชุมครั้ังนี้เป็นครั้งที่ 2 โดยการประชุมคณะกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงานโครงการขอสินเชื่อผลิตภัณฑ์ยาง
และผู้ประกอบกิจการโรงงานที่แสดงเจตจำนงในการขอสินเชื่อ
เพื่อชี้แจงรายละเอียดและแนวปฏิบัติ ในวันพุธที่
28 มกราคม 2558 เวลา 8.30 - 12.00 น. ณ ห้องประชุมชุณหะวัน ชั้น 3 อาคาร สปอ. สรุปสาระสำคัญของการประชุมได้ดังนี้ ระเบียบวาระที่ 1
เรื่องที่ประธานแจ้งที่ประชุมเพื่อทราบ เป็นการประชุมครั้งที่แล้วพิจารณาเห็นชอบหลักเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณาการขอสินเชื่อในการตรวจสอบรับรองความเหมาะสม และแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบติดตามและเร่งรัดเพื่อนำผลมาวิเคราะห์ความเหมาะสมในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรและให้
สศอ. ติดตามผลจากธนาคารออมสินและประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และให้คณะทำงานฯ รายงานความก้าวหน้าทุกเดือน
ระเบียบวาระที่ 2
รับรองรายงานการประชุม
ระเบียบวาระที่
3 ไม่มีเรื่องสืบเนื่องจากการประชุมครั้งก่อน
ระเบียบวาระที่ 4 เรื่องพิจารณา ในส่วนแรกเป็นเรื่องที่ประชุมพิจารณาแนวทางปฏิบัติ
และหลักเกณฑ์อนุมัติการปล่อยสินเชื่อ โดยธนาคารออมสินพิจารณาคุณสมบัติผู้ประกอบการเบื้องต้นและแบ่งกลุ่มผู้ประกอบการได้
3 กลุ่ม
กลุ่มที่
1 กลุ่มที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของธนาคารพร้อมจะดำเนินการต่อไปได้
กลุ่มที่
2 กลุ่มที่มีหลักประกันสินเชื่อและเอกสารประกอบโครงการไม่ชัดเจน
กลุ่มที่
3 กลุ่มที่ไม่มีหลักทรัพย์ประกันสินทรัพย์
ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีปัญหาที่ไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณาในกลุ่มที่
2 และกลุ่มที่ 3 ด้วยสาเหตุดังนี้
- หลักทรัพย์ที่ใช้ในการค้ำประกันสินเชื่อเป็นหลักทรัพย์ที่ได้จดจำนองเพื่อค้ำประกันสินเชื่ออื่นกับธนาคารพาณิชย์อยู่ก่อนแล้ว
-
ผู้ประกอบการไม่มีแผนธุรกิจแผนการตลาดและแผนการบริหารงานที่ชัดเจน
- ผู้ประกอบการไม่ได้ประมาณการเรื่องเงินทุนหมุนเวียน
และหลักทรัพย์ที่จะค้ำประกันเพิ่มเติม
-
สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (DE) ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ของธนาคารออมสิน
-
ผู้ประกอบการหลายรายยื่นขอรับการสนับสนุนสินเชื่อโดยรวมทั้งการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร
การซื้อ
ที่ดิน การสร้างอาคารรวมทั้งเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานซึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่สนับสนุนสินเชื่อเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเท่านั้น
จะทำให้วงเงินที่ได้รับการสนับสนุนปรับลดลงน้อยกว่าที่ยื่นไว้
ความไม่มั่นใจของธนาคารออมสินในการปล่อยสินเชื่อโดยพิจารณาถึงหลักทรัพย์ค้ำประกันสินเชื่อที่ยังถือหลักเกณฑ์ปกติเช่นเดิมยังไม่ผ่อนปรนให้สำหรับผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการนี้เนื่องจากยังไม่ชัดเจนในเรื่อง “ขยายกำลังการผลิต” ครอบคลุมเฉพาะเครื่องจักรเท่านั้นหรือไม่หรือรวมถึงการสร้างใหม่/ขยายโรงงานซื้อเครื่องจักรใหม่ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ซึ่งมติ ครม. ไม่มีรายละเอียดระบุไว้ชัดเจน ณ
ปัจจุบันผู้ประกอบการยื่นกู้เข้ามาแล้วทั้งหมด 22 ราย ส่งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมพิจารณาความเหมาะสมของกำลังการผลิตกับเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นและเทคโนโลยีรวมถึงปัญหาด้านมลภาวะแล้ว
3 ราย และผ่านหลักเกณฑ์เบื้องต้นแล้ว 2
ราย อีก 1 รายอยู่ระหว่างการพิจารณา วงเงิน 570 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจัดอยู่ในกลุ่มที่ 2 และ 3 อีก 19
ราย เนื่องจากธนาคารออมสินพบปัญหาที่ไม่ผ่านการพิจารณาข้างต้น ผู้แทนสมาคมถุงมือยาง ได้ให้ข้อมูลว่าเรื่องวัตถุประสงค์ของโครงการได้เป็นมติไปก่อนหน้านี้แล้วโดยตัวโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อ
“ขยายปริมาณการใช้ยาง” หากสงสัยให้ทำเรื่องสอบถามไปที่ กนย. หรือ
คสช. และยังเสนอให้ธนาคารออมสินทำความเข้าใจและคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
เพื่อผ่อนคลายหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อด้วยว่าหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันสินเชื่อจะใช้หลักทรัพย์ที่เกิดใหม่จากการเข้าร่วมโครงการเป็นตัวค้ำประกันและให้ธนาคารออมสินคลายความกังวลใจเนื่องจากสถานการณ์การตลาดถุงมือไทยซึ่งปัจจุบันผลิตไม่พอจำหน่าย
โดยไทยต้องซื้อถุงมือยางจากมาเลเซียที่ซื้อยางของไทยไปผลิตถุงมือกลับมาเพื่อขายส่งออก
และในเวียดนาม มีโรงงานผลิตถุงมือยาง 14 เครื่อง และ 7 เครื่องที่ผลิตได้นั้น เข้ามาทำสัญญาให้ไทยเป็นตลาดส่งออกให้
ผู้แทนสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย ได้ให้ข้อมูลสถานการณ์ถุงมือยางว่าทั่วโลกผลิตได้
1 แสนล้านชิ้น ไทยผลิต 2.7
หมื่นล้านชิ้น มาเลเซีย ผลิต 7 หมื่นล้านชิ้น ตลาดโลกโตขึ้นเฉลี่ย 10 % ต่อปี แต่อัตราการเติบโตไปอยู่ที่ มาเลเซีย จึงต้องทำโครงการเพื่อขยายกำลังการผลิตและการใช้ยางของประเทศให้
มากขึ้น และได้ขอรายชื่อเจ้าหน้าที่ของธนาคารออมสินที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้
เพื่อให้สมาชิกสมาคมได้ติดต่อประสานงานโดยตรงด้วย
มติที่ประชุมให้ธนาคารออมสินประสานงานกับสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณาสรุปประเด็นปัญหาที่ยังปล่อยสินเชื่อไม่ได้ให้ที่ประชุมพิจารณาแก้ไขต่อไป
เรื่องพิจารณาในส่วนที่สอง
การดำเนินการจัดทำ Public Service Account (PSA) เพื่อขอรับการชดเชยความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตให้แก่ธนาคารออมสินเมื่อธนาคารได้พิจารณาสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการตามกฎ ระเบียบ นโยบาย คำสั่ง ข้อบังคับของธนาคาร
อย่างรอบคอบแล้ว ประธานที่ประชุมได้มีบัญชาให้ สศอ. จัดประชุมวงเล็กภายในอาทิตย์หน้า
โดยเชิญ นายอำนวย ปะติเส (รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) เป็นประธาน และให้เชิญผู้เกี่ยวข้องได้แก่ ธนาคารออมสิน กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางและผู้เกี่ยวข้อง
กรมโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ เพื่อหาข้อสรุป
และนำเสนอ ครม. โดยเร็ว และนัดประชุมคณะกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงานโครงการขอสินเชื่อผลิตภัณฑ์ยางครั้งต่อไปในกลางเดือน กุมภาพันธ์ 2558 หลังจากได้ข้อสรุปการประชุมวงเล็กแล้ว
ข้อเสนอแนะ จากเรื่องพิจารณาแนวปฏิบัติในส่วนแรก
ประเด็นปัญหาที่ธนาคารออมสินพบในเรื่องไม่มีแผนธุรกิจแผนการตลาดและแผนการบริหารงานที่ชัดเจนที่ผู้ประกอบการ 19 ราย ต้องจัดทำเป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาขอสินเชื่อนั้น
เนื่องจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีเครื่องมือและงบประมาณอยู่แล้ว
ประธานที่ประชุมได้บัญชาให้ผู้แทนกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นำเรียน อสอ. ว่าควรพิจารณาระดมเจ้าหน้าที่
ผู้เชี่ยวชาญ และพิจารณางบประมาณเพื่อช่วยผู้ประกอบการที่แจ้งประสงค์ขอกู้ในโครงการนี้ด้วย
แหล่งที่มาข้อมูล
เรียบเรียง : สิทธิชนคน กสอ.
05
ก.พ.
2558