หมวดหมู่
เรื่อง รับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการในกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (6 ตำแหน่ง)
ประกาศกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เรื่อง รับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการในกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (6 ตำแหน่ง) รายละเอียดดังแนบ
08 ม.ค. 2558
ปีงบประมาณ 2558
รายละเอียดตัวชี้วัด 2558 รายละเอียดตัวชี้วัด 2558(1) รายละเอียดตัวชี้วัด 2558(2)
07 ม.ค. 2558
แผนที่อุตสาหกรรมยางพาราไทย (ตอนที่ 2)
แผนที่อุตสาหกรรมยางพาราไทย ตอนที่ 2 สินเชื่อยางแนวทางพยุงราคา แนวทางในการผลักดันและเร่งรัดโครงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้สถาบันเกษตรกรรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น และการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ นำเงินเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อใช้ในการแปรรูปยาง อีกทั้ง สนับสนุนให้มีการปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อเข้าถึงเกษตรกรมากขึ้น โครงการสินเชื่อยาง เป็นโครงการหนึ่งที่อยู่ในแนวทางที่ 2 นี้ ในส่วนของการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการนำเงินไปซื้อน้ำยางข้นเพื่อเก็บน้ำยางเข้าสะต๊อกของโรงงานให้เต็มจำนวนสะต๊อก ใช้วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยให้ผู้ประกอบการกลุ่มน้ำยางข้นกู้เงินหรือขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ตามที่ผู้ประกอบการมีอยู่ เพื่อนำเงินไปหมุนเวียนซื้อน้ำยางข้นจากเกษตรกรชาวสวนยางมาเข้าสะต๊อกให้เต็มจำนวนในช่วงเวลาที่ผลผลิตน้ำยางออกมามาก โดยเล็งเห็นผลว่าเป็นการดึงปริมาณน้ำยางออกจากมือเกษตรกรให้มากที่สุดและเร็วที่สุดและคาดว่าจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำยางข้นมีมากยิ่งขึ้นเพื่อดึงราคายางพาราให้สูงขึ้นตาม วิธีที่ทำก็คือกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มน้ำยางข้นไปกู้เงินจากสถาบันการเงินมาใช้ซื้อน้ำยางข้นในวงเงิน 10,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายให้ธนาคารเจ้าหนี้ตามอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 บาท คิดเป็นเม็ดเงินที่ใช้ในโครงการอยู่ที่ 500 ล้านบาท ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อยางจะได้รับการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 3 บาท รวมเม็ดเงิน 300 ล้านบาท หมายความว่าผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อยางจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ให้ธนาคารเจ้าหนี้รวมทั้งสิ้น 500 ล้านบาท ในจำนวนนี้ภาครัฐจ่ายชดเชยแทนให้ 300 ล้านบาท ผู้ประกอบการจ่ายเอง 200 ล้านบาท เรื่องแบบนี้ท่านเห็นเป็นอย่างไรมาพิจารณาวิเคราะห์เรื่องนี้กันสักหน่อยจะได้เห็นมุมมองต่างๆ ได้หลากหลายยิ่งขึ้น ก่อนอื่นต้องชมรัฐบาลยุคที่มาจาก คสช. ว่าทำงานได้อย่างรวดเร็ว คำนึงถึงความเดือดร้อนและเรื่องปากท้องของพี่น้องเกษตรกร ทุ่มเทการทำงานอย่างหนักเพื่อคลี่คลายความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรการอย่างแท้จริง เรื่องนี้ถูกยกขึ้นเป็นวาระปัญหาระดับชาติ ก็คิดว่าโครงการสินเชื่อยางซึ่งเป็นกลไกชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่จะขับเลื่อนการแก้ปัญหาราคายางทั้งระบบได้ส่งผลเป็นลูกโซ่ถึงตัวเกษตรกรชาวสวนยางจริงๆ คงได้ระดับหนึ่ง ท่านก็เห็นด้วยตามความข้างต้นนี้นะครับ ในมุมมองอีกด้านหนึ่ง เมื่อพิจารณาดูกันอีกทีเปรียบเทียบข้อมูลให้รอบด้านแล้วค่อยสรุปตกผลึกทางความคิดกันดีกว่า ตามที่เราเห็นว่าเรื่องราวของยางพาราตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่ามีบทสรุปที่เป็นหัวใจอยู่ที่ภาคอุปทาน มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าภาคอุปสงค์ การใช้มาตรการช่วยเหลือผ่านเครื่องมือต่างๆ เช่นโครงการสินเชื่อยางเพื่อพยุงราคายางจึงถือว่าเป็นการใช้เครื่องมือที่ถูกต้องเหมาะกับเวลาหรือไม่ ถ้าเปรียบปริมาณยางที่ผลิตออกมาเรื่อยๆ เหมือนปริมาณฝนตกไม่หยุดมีน้ำที่ไหลหลากลงมาจากภาคเหนือเข้าสู่ภาคกลาง การผันน้ำลงสู่ทะเลเปรียบเหมือนกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ยางซึ่งในภาวะปกติระบายได้ทันก็ไม่เป็นประเด็นปัญหา ปริมาณน้ำที่ไหลลงมามีอัตราที่มากกว่าอัตราปริมาณน้ำที่ระบายออกไป สถานการณ์นี้ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมแน่นอน เช่นเดียวกับปริมาณยางพาราที่ระบายขายออกไปไม่หมดจึงมีปริมาณยางเหลืออยู่ในระบบฉันนั้น แล้วอย่างไรจะเป็นการช่วยไม่ให้น้ำท่วมได้ วิธีคิดเรื่องยางพาราก็เป็นแนวทางเดียวกัน มีผู้คิดได้เสนอข้อคิดความเห็นทั้งระบบให้รัฐบาลออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางและยกระดับราคายางพาราให้สูงขึ้น เครื่องมือหนึ่งในมาตรการเหล่านั้นก็คือโครงการสินเชื่อยาง ภาพของโครงการนี้แสดงออกมาให้เห็นว่าเป็นโครงการที่ดีในระดับหนึ่ง เนื้อหาหลักของโครงการเป็นการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการกลุ่มน้ำยางข้นในอัตราร้อยละ 3 ที่ไปกู้สถาบันการเงินต่างๆ ในวงเงินกู้รวม 10,000 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการนำเงินกู้นี้ไปหมุนเวียนซื้อน้ำยางข้นเก็บเข้าสะต๊อกให้เต็มตลอดเวลา เมื่อโครงการนี้ดำเนินต่อไปคาดการได้ว่าจะมีปริมาณน้ำยางข้นจำนวนหนึ่งจะไหลเข้าโกดังเก็บของผู้ประกอบการ เกษตรกรชาวสวนยางขายน้ำยางได้ปริมาณเพิ่มขึ้น คล้ายกับตลาดมีความต้องการมากขึ้นราคาน้ำยางก็จะขยับตัวสูงขึ้นแต่วัดค่าไม่ได้ว่า ราคาสูงขึ้นแค่ไหนจากโครงการนี้ เกษตรการชาวสวนยางไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงต้องรอดูไปว่าโครงการนี้จะส่งผลต่อราคาน้ำยางมากน้อยแค่ไหนอย่างไร เปรียบเหมือนการทำโครงการนี้ผิดฝาผิดตัวหรือเกาไม่ถูกที่คัน ถ้าหันมาดูแบจำลองเปรียบเทียบกับสถานการณ์น้ำท่วม คล้ายกับว่าโครงการนี้กำลังใช้ความพยายามต่อสู้กับสถานการณ์น้ำท่วมด้วยการสร้างแก้มลิงเป็นตัวช่วยดูดซับปริมารณน้ำยางที่กำลังไหลสู่ตลาด ก็ช่วยได้ระดับหนึ่งซึ่งค่อนข้างจะได้ผลน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำยางที่ผลิตออกมากและระบายออกต่างประเทศได้ช้าและปริมาณไม่มากพอ เหตุการณ์ลักษณะนี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นแบบนี้ทุกปี ทีนี้ลองพิจารณาแยกส่วนให้ชัดถึงผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โครงการนี้มีผู้เกี่ยวข้องได้เสียอย่างไรบ้าง เริ่มจากคนที่หนึ่งคือภาครัฐ มติ ครม.เห็นชอบให้ดำเนินโครงการนี้ รัฐจำต้องนำภาษีอากรจากประชาชนออกมาจ่ายชดเชยค่าดอกเบี้ยเงินกู้ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ 300 ล้านบาท คนที่สองเป็นเหล่าผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นผู้รับผลประโยชน์นี้จากเงินภาษีอากร 300 ล้านบาทที่รัฐบาลจ่ายแทนให้ คนที่สามเป็นเกษตรกรชาวสวนยางที่ขายน้ำยางได้ราคาที่สูงกว่าราคาตลาดปกติทั่วไป (สูงกว่ากี่บาทหรือไม่) ข้อนี้ไม่สามารวัดเป็นมูลค่าออกมาได้ ภาพที่แสดงให้เห็นนี้ยังสามารถบ่งชี้ถึงกลุ่มผู้รับประโยชน์จากโครงการนี้ เชื่อได้ว่าน่าจะมาจากกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราเพียงไม่กี่รายที่เสนอแนวความคิดนี้เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ ออกมาช่วยเหลือพยุงราคายางไม่ให้ตกต่ำ เป็นผลงานเด่นของรัฐบาล เพื่อพิสูจน์ความจริงและการยอมรับผลงานชิ้นนี้ ต้องมีหน่วยติดตามสำรวจและสอบถามจากพี่น้องเกษตรการชาวสวนยางว่าได้รับประโยชน์ราคาที่เพิ่มขึ้นและมีความพึงพอใจกับมาตรช่วยเหลือในโครงการสินเชื่อยางหรือไม่ คำตอบนั้นคือเสียงสวรรค์ที่ต้องน้อมรับนะครับ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม : http://in-promote.blogspot.com/2015/01/2-2-10000-10000-5-500-3-300-500-300-200.html เรียบเรียง : สิทธิชนคน กสอ.
05 ม.ค. 2558
บริษัท ลี้ กิจเจริญแสง จำกัด สร้างวิสัยทัศน์ใหม่ จากคนขายหลอดไฟสู่การขายแสง
จากธุรกิจห้องแถวเล็กๆ สร้างธุรกิจมานานกว่า 40 ปี เติบโตจากการรับจ้างผลิตแบบ OEM ปัจจุบันบริษัท ลี้ กิจเจริญแสง จำกัด คือผู้ผลิตอุปกรณ์แสงสว่างครบวงจร สร้างแบรนด์ Lekise จนโด่งดัง มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 150 ชนิด คุณสมนึก โอวุฒิธรรม กรรมการผู้จัดการ ทายาทธุรกิจผู้เข้ามาบริหารงานในช่วงสิบปีที่ผ่านมา วางวิสัยทัศน์ขององค์กรไว้ว่า ที่นี่คือองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตลอดระยะเวลาที่เข้ามาบริหารงาน คุณสมนึกส่งพนักงานไปอบรมสัมมนา แล้วนำความรู้เรื่องต่าง ๆ กลับเข้ามาอบรมให้กับพนักงานในบริษัท แม้กระทั่งระบบ ISO ก็อบรมแล้วทำด้วยตนเองจนสำเร็จมาแล้ว แม้เรียนรู้ไม่เคยหยุด แต่แล้ววันหนึ่งก็รู้สึกว่าถึงทางตัน ช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมาถือว่าองค์กรแห่งนี้พัฒนาได้เร็ว แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่าไม่รู้จะพัฒนาต่อไปในทิศทางใดถึงเวลาที่ต้องมองหาแนวทางใหม่ๆ เมื่อรู้ว่ากรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดทำโครงการ MDICP รุ่น 11 ซึ่งพัฒนาศักยภาพ 5 แผน คุณสมนึกจึงได้เข้าร่วมอบรม ด้วยความหวังว่าอยากเปิดโลกทัศน์และมองหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับองค์กร หลังเข้าร่วมโครงการ บริษัทมี Road Mapที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการผลิต โดยเลือกทำหลอด T5 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์เน้นไปที่สินค้าที่มีนวัตกรรม จึงจัดตั้งทีมงานเรียนรู้เรื่อง Technology Road Map ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ในด้านงานบัญชีมีการนำระบบ ERP มาใช้ และมีการวางแผนการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ด้วยงประมาณ 50 ล้านบาท “เราได้เรียนรู้และพัฒนาค่อนข้างเยอะ ที่สำคัญทีมงานก็สนุกกับการทำงาน ผมมองธุรกิจเป็นระบบมากขึ้น สุดท้ายผลจากการเข้าโครงการ MDICP สะท้อนมาที่ผลประกอบการ ยอดขายของเราเพิ่มขึ้นในเปอร์เซ็นต์ที่น่าพอใจมาก” นอกจากได้เรียนรู้การวางแผนงานอย่างเป็นระบบแล้ว องค์กรยังได้ค้นพบแนวคิดใหม่จากการเข้าอบรม นั่นคือ การเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับตนเอง จากที่เคยเป็นเพียงคนขายหลอดไฟ ปรับไปเป็นคนขายแสง เพราะวันหนึ่งหากโลกเปลี่ยนไปจนไม่จำเป็นต้องใช้หลอดไฟ คนขายหลอดไฟก็คงต้องตกงาน แต่คนขายแสงไม่มีวันตกงาน สิ่งที่ทำให้เกิดแสงจึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่หลอดไฟอีกต่อไป คุณสมนึกจึงมีโครงการตั้ง R&D Center เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คุณสมนึก โอวุฒิธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลี้ กิจเจริญแสง จำกัด 29/22 ถ.พระราม 2 ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โทรศัพท์ : 0 3441 9200 โทรสาร : 0 3441 9205 เว็บไซต์ : www.lekise.com ที่มา : หนังสือ 72 ปี แห่งการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมสู่ความสำเร็จ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
31 ธ.ค. 2557
ห้างหุ้นส่วนจำกัด จิราพร ฟู๊ด เพิ่มมูลค่าด้วยบรรจุภัณฑ์
คุณจิราพร พงศ์รุจิกรพันธ์ เริ่มขายกล้วยตากจากการซื้อกล้วยที่ชาวบ้านตากไว้แล้วมาบรรจุเอง ต่อมาหลังจากมีแผงตากเป็นของตนเอง จึงเริ่มใช้ชื่อกล้วยตาก “จิราพร” เรื่อยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2534 โดยใช้กล้วยน้ำว้าขึ้นชื่อจากอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลกด้วยความใส่ใจในคุณภาพของวัตถุดิบและกระบวนการผลติ จนเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อการแข่งขันสูงขึ้น แม้กล้วยตากจิราพรจะมีรสชาติอร่อยและคุณภาพดี แต่กลับต้องประสบกับปัญหายอดขายไม่เติบโต แถมยังมีคู่แข่งผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด คุณจิราพรจึงเริ่มคิดหาวิธีให้ยอดขายกระเตื้องขึ้น การเปิดโลกทัศน์ทางธุรกิจครั้งสำคัญเกิดขึ้น เมื่อครั้งได้เข้ารับการอบรมโครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จนสามารถวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของผลิตภัณฑ์ นำไปสู่การพลิกโฉมทางด้านการตลาด โดยปรับรูปลักษณ์แพ็กเกจจิ้งให้มีเอกลักษณ์โดดเด่น “หลังจากทำ SWOT ทำให้รู้ว่าแม้ผลิตภัณฑ์ของเราจะมีดีที่รสชาติ แต่ไม่มีจุดเด่นพอจะดึงดูดสายตาเวลาอยู่บนชั้นวาง พอเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งให้ดูทันสมัย จากยอดขายที่ไม่กระเตื้องมานาน กลับโตขึ้นถึงร้อยเปอร์เซ็นต์เพียงแค่เราแก้ปัญหาแพ็กเกจจิ้งได้เท่านั้น” เมื่อแก้ปัญหาด้านรูปลักษณ์ของกล้วยตากจิราพรได้สำเร็จ คุณจิราพรจึงนำไอเดียแพ็กเกจจิ้งโฉมใหม่มาพัฒนาร่วมกับผลิตภัณฑ์กล้วยตากทางเลือกอื่นที่ทำอยู่ก่อนหน้ากลายเป็นผลิตภัณฑ์กล้วยตาก “Snack To Go” ที่มีรสชาติแปลกใหม่ เช่น กล้วยตากเคลือบช็อคโกแลต กล้วยตากรสสตรอเบอร์รี่ เป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับกล้วยตากจากเดิมเป็นเพียงสินค้าซื้อฝากประเภทของดีประจำจังหวัด กลายเป็นขนมขึ้นห้างสรรพสินค้าในไทย และส่งออกตลาดต่างประเทศ คุณจิราพร พงศ์รุจิกรพันธ์ กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด จิราพร ฟู๊ด 174/1 หมู่ 5 ต.บางกระทุ่ม อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก โทรศัพท์ : 0 5539 1024 โทรสาร : 0 5539 1284 เว็บไซต์ : www.jirapornbanana.com ที่มา : หนังสือ 72 ปี แห่งการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
31 ธ.ค. 2557
บริษัท แพนเอเซีย (1981) จำกัด รักษาความเป็นหนึ่งด้านอาหารทะเลแปรรูป
บริษัท แพนเอเซีย (1981) จำกัด เริ่มต้นธุรกิจด้วยการผลิตอาหารทะเลแช่แข็งส่งออกจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในตลาดโลก นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าแรกแห่งเอเชียที่ส่งออกอาหารทะเลในโหลแก้วและอาหารทะเลรมควันรูปแบบกระป๋องปัจจุบันแพนเอเซียขึ้นแท่นเป็นผู้นำตลาดจำหน่ายและส่งออกอาหารทะเลแปรรูป ซึ่งทางบริษัทได้ทำงานร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมาโดยตลอดในด้านการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากล จวบจนระยะหลัง แพนเอเซียประสบภาวะด้านวัตถุดิบในไทยเริ่มหายาก ราคาแพง และค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำปรับสูงขึ้น ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีศักยภาพในการผลิตเพิ่มขึ้นและยังคงมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้เกิดภาวะการแข่งขันสูง บริษัทจึงต้องปรับตัวด้วยการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้ต้นทุนสูงขึ้นถึงร้อยละ 60-70 ขณะเดียวกันการนำเข้าสินค้าก็กินระยะเวลานานหลายเดือน ผลประกอบการจึงไม่ดีเหมือนเมื่อแรกดำเนินกิจการ คุณวุฒิศักดิ์ แสงศิวะฤทธิ์ ผู้บริหารของบริษัท จึงตัดสินใจเข้ารับการสนับสนุนโครงการ Training Fund (TF) เมื่อปี 2553 และต่อเนื่องด้วยโครงการ Consultancy Fund (CF) ในปี 2554 จากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 10 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งมีการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการ วางแผนการผลิตและการตลาดใหม่ โดยนำเครื่องมือคำนวณและวิเคราะห์มาช่วยในการวางแผนทำให้การสั่งวัตถุดิบสัมพันธ์กับยอดขาย และผลิตโดยคำนึงถึงมาตรฐาน HACCP, GMP และ ISO 9000 เป็นสำคัญ “อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการได้ชี้แนะให้เรารู้จักวางแผนการผลิตล่วงหน้า ตั้งแต่ต้นทางการรับออร์เดอร์ลูกค้า ระยะเวลานำเข้าสินค้า และชี้ให้เห็นหนทางแก้ปัญหาที่เราไม่เคยมองออก จะทำอย่างไรให้การผลิตไม่ต้องหยุดชะงักเพราะกำลังคนไม่พอ ตอนนี้เราสามารถผลิตสินค้าได้อย่างคล่องตัว และยังช่วยลดต้นทุนได้ถึงหลักล้าน” คุณวุฒิศักดิ์ พูดถึงการปรับระบบการจัดการ ซึ่งเป็นการพลิกฟื้นประสิทธิภาพภายในขององค์กรให้คงความเป็นหนึ่งด้านอาหารทะเลแปรรูปและเตรียมรับการแข่งขันในตลาดเสรี AEC ที่กำลังจะมาถึง คุณวุฒิศักดิ์ แสงศิวะฤทธิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการโรงงาน บริษัท แพนเอเซีย (1981) จำกัด 17 ถ.เจริญลาภ ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี โทรศัพท์ : 0 7731 1025-8 โทรสาร : 0 7724 0487 เว็บไซต์ : www.panasia.co.th ที่มา : หนังสือ 72 ปี แห่งการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
31 ธ.ค. 2557
บริษัท นิธิฟู้ดส์ จำกัด อย่าใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียว
ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตสินค้าเครื่องเทศและสินค้าเกษตรแปรรูประดับแนวหน้า และมีแบรนด์สินค้าของตนเองที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเช่นทุกวันนี้ บริษัท นิธิฟู้ดส์ จำกัด เริ่มต้นด้วยการผลิตเครื่องเทศคุณภาพสูงส่งให้ลูกค้ารายใหญ่ในประเทศเป็นหลัก เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป รวมถึงเครื่องปรุงรส จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นหลังจากได้เข้าร่วมอบรมโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน (Manufacturing Development to Improve Competitiveness Programmer : MDICP) ใน พ.ศ. 2547 ทำให้พบว่าถึงเวลา แล้วที่บริษัทต้องปรับเปลี่ยน และวางหมากธุรกิจเสียใหม่ แม้นิธิฟู้ดส์จะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเครื่องเทศรายใหญ่ระดับประเทศ แต่การมีจำนวนลูกค้าน้อยรายเกินไป วันหนึ่งหากลูกค้ารายใหญ่เหล่านั้นไม่สั่งซื้อสินค้า ย่อมหมายถึงการเผชิญความเสี่ยงได้ทุกเมื่อในคราวเดียวกัน “อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว จงออกไปหาความสามารถใหม่” คุณสมิต ทวีเลิศนิธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิธิฟู้ดส์ จำกัดสรุปบทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้จากการเข้าโครงการนี้ จากจุดนั้นทำให้นิธิฟู้ดส์หันกลับมาทบทวนตนเอง และเริ่มต้นทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม โดยเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ กระทั่งใน พ.ศ. 2551 จึงตัดสินใจขยายฐานลูกค้า โดยสร้างผลิตภัณฑ์ด้วยแบรนด์ของตนเอง ชื่อว่า “เออร์เบิร์นฟาร์ม” (Urban Farm) ผลิตสินค้าผักอบแห้งกึ่งสำเร็จรูปออกสู่ตลาดผู้บริโภคของไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ตลอดจนได้รับรางวัลเชิงนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ระดับประเทศหลายรางวัล “โครงการ MDICP ชี้จุดอ่อน และสร้างจุดเริ่มต้นให้เราทำการตลาด สร้างแบรนด์สร้างเครือข่ายและซัพพลายเออร์ของตัวเอง หลังจากที่เคยเป็นผู้รับจ้างอยู่เบื้องหลังอุตสาหกรรมอาหารมาโดยตลอด” เป็นเวลากว่า 10 ปี ที่นิธิฟู้ดส์ขยายฐานการผลิต ขยายห้องวิจัย เพิ่มแผนก Research & Development Kitchen และเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างไป จากกระสอบเครื่องปรุงรสอันเป็นรายได้หลักของบริษัท ปัจจุบันได้ต่อยอดมาในกลุ่มสินค้าเครื่องปรุงรสภายใต้แบรนด์ Urban Farm ซอสผงปรุงข้าวอบ Pocket Chef ซอสผงข้าวผัด และ East Kitchen ผงปรุงอาหารตำรับตะวันออกเพื่อเจาะกลุ่มตลาดพรีเมียมต่างประเทศ ทั้งหมดนี้ล้วนเริ่มต้นมาจากแนวคิด “อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” ที่มาจากห้องเรียนของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในครั้งนั้น คุณสมิต ทวีเลิศนิธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิธิฟู้ดส์ จำกัด 21/6 ม.2 ถ.เชียงใหม่-ฮอด ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ โทรศัพท์ : 0 5348 1484 เว็บไซต์ : www.nithifoods.co.th ที่มา : หนังสือ 72 ปี แห่งการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
31 ธ.ค. 2557
บริษัท สุคันธา ไทยสแน็ค จำกัด ยกระดับสแน็คท้องถิ่นสู่สากล
ข้าวตังสุคันธาเริ่มต้นจากการเป็นร้านขนมไทยของฝากเล็กๆ ในจังหวัดเพชรบุรี ด้วยกรรมวิธีการผลิตที่พิถีพิถัน จึงทำให้ร้านโด่งดังเป็นที่รู้จัก จากรุ่นแม่สู่ไม้ผลัดสองในรุ่นลูกอย่างคุณจุฑารัตน์ ตั้งพาณิชย์ ยังคงคุณภาพและความซื่อสัตย์ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะขนมขึ้นชื่อของทางร้านอย่างข้าวตังที่เลือกใช้ข้าวหอมมะลิมาตรฐานส่งออก ทอดในน้ำมันพืช เพิ่มความหอมกรุ่นชวนรับประทาน ปรุงแต่งด้วยเครื่องเทศของไทยสูตรเฉพาะตำรับดั้งเดิม อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และนำวัตถุดิบท้องถิ่นอันเป็นจุดเด่นอย่างตาลโตนดมาเป็นตัวชูโรงเช่นเดิม แต่จุดอ่อนของข้าวตังสุคันธารุ่นแม่ คือมีอายุผลิตภัณฑ์สั้นเพียง 2 เดือน คุณจุฑารัตน์จึงคิดค้นหาวิธีการที่จะถนอมอาหารไว้ได้นานเพื่อยืดอายุในการขายให้มีเชลฟ์ไลฟ์นานยิ่งขึ้น นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณจุฑารัตน์เข้าร่วมอบรมกับโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ (NEC) ซึ่งย่อโลกธุรกิจทั้งใบมาไว้ตรงหน้า “โครงการ NEC ให้แนวคิดที่เป็นระบบ เมื่อก่อนดิฉันเคยเห็นภาพการทำธุรกิจ แต่อาจจะไม่ชัดเจน แทนที่จะเริ่มนับ 1 เราก็ข้ามสเต็ปมาอยู่ที่ 5 แล้วดูว่าเราขาดอะไรจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มา บางอย่างก็เรียนรู้จากเพื่อนในกลุ่มแม้จะเป็นคอร์สสั้นๆ แต่เปรียบเหมือนหลักสูตรมินิเอ็มบีเอที่ย่อโลกธุรกิจให้ได้เรียนรู้” หลังเข้าอบรมร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมทิศทางของข้าวตังสุคันธาเปลี่ยนไป จากเดิมที่มีอายุผลิตภัณฑ์ 2 เดือน ก็ใช้เทคโนโลยีมาช่วยยืดอายุผลิตภัณฑ์เป็น 1 ปี ลดขนาดลงให้พอดีค????ำ รวมทั้งเข้าสู่ระบบโรงงานตั้งแต่ พ.ศ. 2546 เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด และขยายตลาดจากร้านของฝากสู่ห้างสรรพสินค้าก้าวย่างต่อไปของข้าวตังสุคันธา คือการเตรียมสู่มาตรฐานฮาลาลแห่งชาติ เพื่อต้อนรับการเปิดตลาด AEC และเดินหน้าสู่ระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คุณจุฑารัตน์ ตั้งพาณิชย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สุคันธา ไทยสแน็ค จำกัด 228 หมู่ 5 ซอย 9 ถ.บันไดอิฐ ต.บ้านหม้อ อ.เมือง จ.เพชรบุรี โทรศัพท์ : 0 3248 8311 เว็บไซต์ : www.kaotang.com ที่มา : หนังสือ 72 ปี แห่งการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
31 ธ.ค. 2557
บริษัท สวนผึ้งหวาน จำกัด ชุบชีวิตสร้างธุรกิจใหม่
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศเมื่อปี 2540 ทำให้ธุรกิจล้มระเนระนาด คุณพัชรี และคุณนิวัฒน์ โฆวงศ์ประเสริฐ เป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบในครั้งนั้น พร้อมกับมีหนี้สูญ 30 ล้านบาท จากโครงการรับเหมาติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ให้กับคอนโดมิเนียมจนต้องตัดสินใจปิดบริษัท การล้มครั้งนั้นแม้จะทำให้ท้อแท้บ้างในช่วงแรก แต่ทำให้ทั้งคู่ได้ค้นพบธุรกิจใหม่ นั่นคือการแปรรูปมะขามหวาน พืชเศรษฐกิจขึ้นชื่อของเพชรบูรณ์ บ้านเกิดของคุณพัชรี มาทำเป็นของทานเล่นรสชาติถูกปากคนไทย ไม่น่าเชื่อว่าจากแค่มะขามคลุกพริกเกลือน้ำตาลธรรมดา กลับกลายเป็นสินค้าทำเงินจนต้องหันมาพัฒนาธุรกิจนี้อย่างจริงจัง ปัจจุบันบริษัท สวนผึ้งหวาน จำกัด เจ้าของแบรนด์ “บ้านมะขาม” ผลิตมะขามหลากหลายเมนูเพื่อจำหน่ายตามร้านค้าต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงส่งออกไปต่างประเทศด้วยเมื่อธุรกิจโตวันโตคืนเช่นนี้ ทั้งคุณนิวัฒน์และคุณพัชรีคิดตรงกันว่าต้องเพิ่มพูนความรู้ทางธุรกิจให้มากขึ้น จึงได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) ต่างรุ่นกัน โดยคุณนิวัฒน์ เข้าร่วมอบรมรุ่น 118 จังหวัดนครปฐม โดยศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 8 จังหวัดสุพรรณบุรี หน่วยงานของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในภูมิภาค เมื่อ พ.ศ.2547 ส่วนคุณพัชรีเข้าร่วมอบรมรุ่น 126 เมื่อ พ.ศ. 2548 การเข้าร่วมอบรมโครงการ คพอ. ของทั้งคุณนิวัฒน์ และคุณพัชรี ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ลงลึกเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับรายสาขาอุตสาหกรรมอาหาร ช่วยให้บ้านมะขามวางแผนการผลิตได้ตามมาตรฐานยิ่งขึ้น มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยยึดหลัก ทุกผลิตภัณฑ์ต้องมีความแตกต่าง เมื่อมะขามคลุกเสวยไปได้ดี จึงเริ่มหาสูตรใหม่ๆ มีทั้งมะขามหยีมะขามแช่อิ่ม มะขามเคี้ยวหนึบ มะขาม เปรี้ยวแซ่บ มะขามโยเกิร์ต ฯลฯ โดยคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพทุกขั้นตอน เมื่อธุรกิจเติบโตมาได้ระดับหนึ่ง บริษัทยังได้เข้าร่วมอบรมโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขัน(Manufacturing Development to Improve Competitiveness Programmer : MDICP) ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเพื่อต่อยอดความรู้ “เราผูกพันกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก เป็นเหมือนพ่อแม่เราเลย พอถึงระยะหนึ่งก็ให้เรามาอบรม MDICP ผมถือว่าเป็นขั้น advance เราโตมาถึงระดับหนึ่งต้องเรียนรู้เพิ่ม เพราะระบบผลิตเดิม จากเล็กมาใหญ่จะเริ่มมั่ว ทำอย่างไรจะประหยัดคนประหยัดพลังงาน เรื่องการตลาด โมเดิร์นเทรดยิ่งขายเยอะ ก็ยิ่งบีบเรา MDICP จะเป็นการให้ความรู้เราอีกขั้น ภายใต้โครงการนี้เป็นการเรียนรู้การวางแผนธุรกิจคือ แผนการผลิต แผนการตลาด แผนการเงินและบัญชีการบริหารจัดการและการพัฒนาบุคลากรโดยจะมีที่ปรึกษามาสำรวจ วิเคราะห์ปัญหาร่วมกับพนักงาน” ด้วยความที่ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ นับจากวันที่พบวิกฤตจนถึงวันนี้ คุณพัชรีสวมหัวใจนักขาย ส่วนคุณนิวัฒน์เป็นนักบริหาร นำพาองค์กรแห่งนี้เติบใหญ่มีผลิตภัณฑ์มะขามและแบรนด์ย่อยนานาชนิด มีรายได้เฉลี่ยเติบโตปีละ 30% เป็นธุรกิจที่เรียกได้ว่าเกิดจากทรัพย์ในดิน สินในฝัก ที่สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดได้อย่างไม่รู้จบ คุณพัชรี – คุณนิวัฒน์ โฆวงศ์ประเสริฐ ผู้บริหาร บริษัท สวนผึ้งหวาน จำกัด 7 ซอยรามคำ แหง 118 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ โทรศัพท์ : 0 2372 0298-9 โทรสาร : 0 2372 0300 ที่มา : หนังสือ 72 ปี แห่งการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
31 ธ.ค. 2557