Category
ทำไม FinTech ถึงเป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง?
ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เพราะในชีวิตประจำวันของเราเกี่ยวข้องกับเรื่องของการทำธุรกรรมทางการเงินกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกดเงินจากตู้ ATM หรือบางคนก็สะดวกกับการจ่ายเงินโดยการโอนเงินผ่านแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ หรือจะเป็นการซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ แบบออนไลน์ (เราควรเลือกใช้บริการเว็ปไซต์ที่มีการเข้ารหัสอย่างปลอดภัยด้วย) FinTech เกี่ยวข้องกับการให้บริการประกันรถยนต์แบบออนไลน์ทุกคน สามารถกรอกรายละเอียดจากหน้าเว็ปไซต์รวมถึงจ่ายเงินได้ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ได้ตามความสะดวกด้วย เพราะยังไงเราก็ต้องทำประกันรถยนต์และต่อ พ.ร.บ.กันทุกปีอยู่แล้ว การใช้ชีวิตของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ด้วยเทคโนโลยีที่ของโลกที่ก้าวหน้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนถึงกับเคยมีคนพูดไว้ว่าในอนาคตคอมพิวเตอร์พกพาจะเริ่มขายไม่ออกเพราะทุกคนสามารถเข้าถึงโลกอินเตอร์เน็ตได้จากโทรศัพท์มือถือกันแล้วทั้งการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ก่อนการตัดสินใจซื้อรีวิวสินค้าหรือบริการจากคนใช้จริงหรือแม้กระทั่งการจ่ายเงินบนมือถือเพื่อซื้อสินค้า เช่น ซื้อประกันรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชั่นหรือจากหน้าเว็ปไซต์ทำให้การเกิดความเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิตของเราที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นหลัก และ FinTech เองก็ตอบโจทย์ในเรื่องของการใช้งานผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือได้ที่ทั้งสะดวก ง่าย รวดเร็วและมีความปลอดภัยสูงอีกด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เป็นธุรกิจที่น่าจับตามมองมากที่สุดในตอนนี้ ใช้งานได้จากทุกที่ทั่วโลก เรื่องความสะดวกนี่เป็นหัวใจหลักของ FinTech เลยทีเดียว เพราะ หลาย ๆคนคงไม่ชอบอะไรที่ขั้นตอนเยอะ ยุ่งยาก เสียเวลา และ FinTech เองก็เน้นจุดแข็งของการทำธุรกิจไปที่ความสะดวกและประกอบกับโลกของเรามีความเชื่อมโยงกันง่ายขึ้น เหมือนโลกเราจะใบเล็กลงผู้คนเดินทางกันเป็นว่าเล่นและทุกคนอยากที่จะใช้ผู้ให้บริการรายเดียวไม่ต้องคอยสมัครใหม่กันให้เหนื่อยใจเหมือน PayPal ที่เราสมัครครั้งเดียวก็สามารถจ่ายเงินออนไลน์ได้ทุกสกุลเงินและทั่วโลกอีกต่างหากทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่ว่าทำไมเราถึงต้องรู้จักและเข้าใจ FinTech
30 พ.ค. 2020
Digital Transformation – ความเปลี่ยนแปลงและความเป็นผู้นำ
Digital disruption? ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานบริษัท, ครู, หมอ, แม่บ้าน, วัยรุ่น หรือเจ้าของร้านอาหาร หรือเป็นอะไร เราทั้งหมดต่างก็รู้สึกถึงผลกระทบของ Digital disruption แม้แต่กับกิจกรรมที่ธรรมดาที่สุดอย่างการซื้อของชำ ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี (และการนำมาใช้) ทำให้ลักษณะการมีปฏิสัมพันธ์กัน การบริโภคสื่อ หรือแม้แต่การจับจ่ายซื้อสินค้าละบริการของคนในสังคม, กลุ่มคน และในครอบครัวไม่เหมือนก่อนอีกต่อไป ปรากฏการณ์ยักษ์ล้มที่มากับ Digital Disruption Digital transformation ไม่ได้เป็นความท้าทายแค่กับธุรกิจขนาดเล็กเท่านั้น แต่กลับให้ผลที่รุนแรงยิ่งกว่ากับบรรดาแบรนด์ใหญ่ระดับตำนานทั้งหลาย ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราต่างก็ได้เห็นความเป็นไปของบริษัทต่าง ๆ ที่เติบโตขึ้น หรือต้องปิดตัวไป จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง แต่ถ้าคุณติดตามข่าวสาร และการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดล่ะก็ น่าจะทราบว่าDigital disruption นี่แหละที่มีส่วนทำให้เกิดกรณีแบบนี้ แต่ก็มีหลายครั้งที่การปิดตัวลงของธุรกิจไม่ใช่ผลพวงจากความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยตรง แต่กลับเกี่ยวข้องกับความเป็นผู้นำ และการดิ้นรนของทีมเพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง เราน่าจะเคยเห็นกรณีของ Kodak แบรนด์ระดับตำนานที่มีอันจะต้องเลิกกิจการกล้องถ่ายรูปไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ต่อมา Yahoo ก็ไปกับเค้าด้วย โดยสื่อบอกว่าเป็นเพราะปัญหาเกี่ยวกับการบริหาร Nokia ก็เป็นอีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ที่ต้องล้มลงเพราะ Digital disruption และจริง ๆ แบรนด์เหล่านี้ต่างก็เป็นบริษัทธุรกิจดิจิทัลที่ผ่านการต่อสู้เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงให้ทันมาแล้วทั้งนั้น เช่นเดียวกับรายล่าสุด ที่การปิดตัวของเขาทำให้คนยุคก่อนรุ่นปัจจุบันค่อนข้างช็อค และใจหายไปตาม ๆ กัน:Toys "R" Us จากยุครุ่งสู่ยุคร่วง ความท้าทายจาก Digital Transformation แล้วเราจะรับมือกับ Digital transformation อย่างไรให้รอด? ลองมาดูตัวอย่างทางเลือกและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นกันค่ะ: จ้างเอเจนซีนอก: คุณอาจจะคิดว่า "ให้คนที่รู้งานดิจิทัลรับมือ Digital transformation แทนน่าจะดีที่สุด ก็เขาเชี่ยวชาญเรื่องนี้อยู่แล้วนี่นา…." ผิดค่ะ หยุดคิดแบบนั้นเลย คนทำงานดิจิทัลอาจมีความรู้เรื่องดิจิทัลมากก็จริง แต่เขาไม่ได้เชี่ยวชาญธุรกิจของคุณด้วย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะทำงานให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและค่านิยมขององค์กรคุณได้ยังไง คนที่รู้จักวัฒนธรรม, ธุรกิจ, ผลิตภัณฑ์ และลูกค้าของคุณดีที่สุดก็คือบุคคลากรของคุณเอง บริษัทจากข้างนอกอาจสามารถช่วยเรื่องทักษะและความรู้ด้านดิจิทัลที่คุณขาดไปได้ แต่การการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นดิจิทัลควรเริ่มจากภายในองค์กรเอง ไม่ใช่จากภายนอกเข้าสู่องค์กร จ้างคนเก่ง ๆ เข้ามาทำงาน: เอาล่ะ "ถ้างั้นจ้างคนเก่งทางดิจิทัลที่รู้เรื่องผลิตภัณฑ์, บริการ, ลูกค้า และธุรกิจของคุณเข้ามา แล้วก็ให้คนนี้แหละ รับผิดชอบเรื่อง Digital transformation ให้" ช้าก่อนค่ะ ถ้าคุณกำลังวางแผนจะจ้างนักวางแผนการตลาดดิจิทัล, นักจัดการโซเชียลมีเดีย และสื่อแบบจ่ายเงิน ก็ต้องทำใจว่าเขาเหล่านี้อาจยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงองค์กรทั้งองค์กร เพราะการจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ต้องอาศัยคนที่มีทักษะในการเป็นผู้นำสูง และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายตั้งแต่บัญชียันIT และ HR กันเลยทีเดียว "สิ่งสำคัญไม่ใช่การหาคนเก่งด้านดิจิทัลเข้ามาทำงาน แต่เป็นการหาผู้นำที่ด้านดิจิทัลที่มีทั้งทักษะด้านความเป็นผู้นำ, การตลาด, IT ไปจนถึงการจัดการผลิตภัณฑ์ แถมคุณจะต้องแข่งกับหลาย ๆ บริษัทเพื่อมนุษย์เนื้อหอมคนนี้อีกต่างหาก" ตั้งทีมจัดการการเปลี่ยนแปลง และ/หรือ Scrum Team: มาถึงตอนนี้ คุณอาจจะเกิดความคิดที่แบบ "ถ้าเกิดเราหาผู้นำด้านดิจิทัล, CMO, CIO และ CXO ไม่ได้ ก็สร้างทีมที่รวมคนที่มีทักษะหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยกันซะเลยสิ ด้วยความรู้และทักษะของคนเหล่านั้น พอเอามารวมกันแล้วอาจเพียงพอที่จะรับมือ Digital transformation ได้ก็ได้" แม้ว่านี่จะฟังดูเหมือนทางเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่กล่าวมา แต่ทีมนี้จะต้องพบกับความท้าทายอีกมากกับแผนกต่าง ๆ เช่นเซิร์ฟเวอร์ หรือเทคโลโลยีเก่า ๆ ที่ไม่สามารถปรับได้ งบอันจำกัดจำเขี่ยจากฝ่ายการตลาด การตรวจสอบค่าใช้จ่ายอย่างละเอียดจากฝั่งHR และบัญชี และที่สำคัญที่สุดก็คือความกดดันด้านผลตอบแทนการลงทุนจากผู้บริหาร (ซึ่งก็คือคุณนั่นแหละ) แม้ว่าจริง ๆ แล้ว Digital transformation เป็นกระบวนการแบบกึ่ง Passive ที่มีเป้าหมายหลัก ๆ เป็นการลดทอนทัศนคติที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงให้หมดไป ประกอบกับการกระจายความรู้ด้านดิจิทัล และส่งเสริมการเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างทั่วถึงทั้งองค์กร ด้วยเหตุผลนี้แหละ CMO, CIO และ CXO ทั้งหลายน่าจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการทำให้เกิด Digital transformation (หรือการปรับเปลี่ยนรูปแบบอื่นใดในองค์กร) และสิ่งนี้ยังต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนที่เป็นหัวหน้าอย่างใหญ่หลวงอีกด้วย กล่าวคือต้องพัฒนาความเข้าใจในกลไกของความเป็นดิจิทัล, ผลกระทบ, การวัดผลต่าง ๆ ไปจนถึงลักษณะการใช้เทคโนโลยีของลูกค้า การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่สำหรับผู้นำ เมื่อดูจากทางเลือก 3ตัวอย่างที่ยกมา ก็น่าจะทำให้คุณเห็นแล้วว่า Digital transformation เริ่มต้นที่ความเป็นผู้นำ การวิจัย IQ ทางดิจิทัลโดย digital.pwc.com แสดงให้เห็นว่ามีผู้บริหาร 60เปอร์เซ็นต์ขาดทีมซึ่งมีทักษะที่เหมาะสม, 45เปอร์เซ็นต์มีกระบวนการทำงานที่กินเวลามากและไม่ยืดหยุ่น, 51เปอร์เซ็นต์ไม่มีการนำข้อมูลและเทคโนโลยีแบบใหม่มาใช้รวมกัน และ 63เปอร์เซ็นต์ยังคงใช้เทคโนโลยีที่เก่า หรือตกรุ่นไปแล้ว Digital disruption นับเป็นความท้าทายใหญ่หลวงอย่างหนึ่งสำหรับเหล่าผู้นำองค์กร ซึ่งเป็นคนที่จะต้องคอยติดตามความเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ต่าง ๆ และปรับการทำงานภายในองค์กรให้เหมาะกับเทรนด์เหล่านั้นอย่างefficiently map these trends internally, เพื่อผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในองค์กรในทุก ๆ วัน เรื่องดิจิทัลไม่ได้ยากเกินเอื้อม แต่ก็ต้องทำความเข้าใจกันมากนึดนึง ตั้งแต่ Blockchain ไปจนถึง AI, เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้าสู่ตลาด, การทำ Social listening ตลอดจนรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ อาทิ การทำ Performance marketing และ UTM หมายถึงอะไร? เมื่อเร็ว ๆ นี้มีบทความชิ้นหนึ่งจาก Forbes ที่อธิบายว่าการทำ Digital transformation ให้ประสบความสำเร็จเริ่มต้นที่ความสัมพันธ์อันดีระหว่าง CMO และ CIO ดังนั้น การทำให้เกิดความชัดเจนในการทำงาน และการขจัดความกำกวมเพื่อให้เกิด Team dynamic ดูจะให้ผลเสียมากกว่าผลดีกับการทำ Digital transformation เพราะการจะผ่านสิ่งนี้ไปได้ ต้องยอมรับว่ามันจะต้องเกิดความกำกวม ไม่ชัดเจนว่าอะไรที่จะเป็นตัวผลักดันบริษัทไปในทิศทางที่ถูกต้อง สำหรับหลาย ๆ บริษัท คงไม่มีใครบรรเทาความรู้สึกไม่แน่นอน, ความอึดอัด และความไม่พอใจที่ทีมงานจะต้องเจอ เมื่อต้องทำงานภายใต้ความไม่ชัดเจนได้ดีไปกว่าผู้บริหารระดับ C-level นั่นเอง ฉะนั้น การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ และทัศนคติจึงมีความจำเป็นต่อผู้นำระดับสูงในการที่จะเปลี่ยนทั้งองค์กรจากแบบดั้งเดิมไปเป็นแบบดิจิทัล ความท้าทายด้าน Learning Curve ความท้าทายนี้ไม่ได้เกิดแค่กับผู้นำทางดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของทั้งทีมที่ต้องเตรียมความพร้อมด้านความรู้เพื่อให้สามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมในการทำงานแบบใหม่ได้อย่างมั่นใจอีกด้วย แม้ว่าจะมีคอร์สเรียนด้านดิจิทัลอยู่มากมายทั่วโลก แต่ในประเทศไทยกลับมีตัวเลือกที่ค่อนข้างจำกัด ยิ่งสื่อการเรียนการสอนซึ่งให้ข้อมูลด้านดิจิทัลเชิงลึกที่เข้าใจง่าย และฟรี แทบไม่ต้องพูดถึงเลย อย่างไรก็ดี ถ้าอยากเริ่มศึกษา ก็อาจเริ่มได้ง่าย ๆ ด้วยการติดตามสื่อที่เกี่ยวข้องกับโลกดิจิทัล เช่น e-book จาก STEPS Academy เล่มนี้ที่เป็นภาษาไทย และดาวน์โหลดกันได้ฟรีเลยนะคะ เนื้อหาก็จะเป็นแนะนำแนวทางสำหรับการทำ Content transformation, Personalized marketing, ประสบการณ์ในการใช้งานเว็บไซต์ และ Digital CRM ส่องทัศนะผู้นำระดับโลกเกี่ยวกับ Digital Transformation "อย่างน้อย 40%ของธุรกิจทั้งหมดจะต้องปิดตัวลงภายในสิบปีข้างหน้านี้ … หากไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้รับกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้" – John Chambers | ประธานกรรมการบริหาร Cisco System "ถ้าเราลองมาดูอายุเฉลี่ยของคณะผู้บริหารทั่วโลก – จริง ๆ แล้ว ดูแบ็คกราวด์ของพวกเขาควบคู่ไปด้วยก็ได้ – พวกเขายังไม่มีความพร้อมจะเข้าสู่ยุคดิจิทัลหรอกครับ" – James Bilefield | ที่ปรึกษาอาวุโสบริษัท McKinsey "เหตุการณ์แบบเรื่อง Silicon Valley กำลังจะมา และถ้าธนาคารทั้งหลายไม่พัฒนาตัวเอง ก็เตรียมตัวถูกบริษัทเทคโนโลยีแย่งพื้นที่ในวงการธุรกิจได้เลย เดี๋ยวนี้ก็มีบริษัท Startup พร้อมเงินและมันสมองอยู่เป็นร้อยรายที่กำลังพัฒนาทางเลือกใหม่ ๆ มาแทนที่การทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารแบบเดิม ๆ กันอยู่" – Jamie Dimon | ประธานกรรมการ, ประธานบริษัท และ CEO บริษัท JPMorgan Chase "ตอนนี้เราไม่ควรต้องมาคุยกันเรื่อง ‘การตลาดดิจิทัล’ อีกแล้ว แต่ควรเป็นเรื่องการทำการตลาดในโลกดิจิทัลต่างหาก" – Keith Weed | Unilever, 2015
30 พ.ค. 2020
การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ( Big Data Analysis ) คืออะไรและทำไมถึงสำคัญ
การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analysis) คืออะไรและทำไมถึงสำคัญ Big Data คือ ข้อมูลจำนวนมากมหาศาลของบริษัททุกเรื่อง ทุกแง่มุม ทุกรูปแบบที่คุณพอจะนึกออก ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่มีโครงสร้างชัดเจน (Structured Data) เช่น ข้อมูลที่เก็บอยู่ในตารางข้อมูลต่าง ๆ หรืออาจเป็นข้อมูลกึ่งมีโครงสร้าง (Semi-Structured Data) เช่น ล็อกไฟล์ (Log files) หรือแม้กระทั่งข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Data) เช่น ข้อมูลการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ผ่านสังคมเครือข่าย (Social Network) เช่น Facebook, twitter หรือ ไฟล์จำพวกมีเดีย เป็นต้น โดยอาจจะเป็นข้อมูลที่มาจากภายในองค์กร และภายนอกที่มาจากการติดต่อกับ Supplier หรือจากทุกช่องทางการติดต่อกับลูกค้า แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังคงเป็นเพียงข้อมูลดิบที่รอการนำมาประมวลและวิเคราะห์ เพื่อนำผลที่ได้มาสร้างมูลค่าทางธุรกิจ ข้อมูลเหล่านี้อาจจะไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่องค์กรสามารถนำไปใช้ได้ทันที แต่อาจมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรบางอย่างแฝงอยู่ความเป็นมาและวิวัฒนาการของการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ แนวคิดของ Big Data มีมานานหลายปีแล้ว องค์กรส่วนใหญ่ตอนนี้เข้าใจว่าหากพวกเขารวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ไหลเข้าสู่ธุรกิจของพวกเขา พวกเขาสามารถใช้การวิเคราะห์และรับค่าที่สำคัญจากมัน แต่แม้กระทั่งในทศวรรษ 1950 หลายทศวรรษก่อนใครก็ตามที่ใช้คำว่า "ข้อมูลขนาดใหญ่" ธุรกิจต่าง ๆ กำลังใช้การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานเพื่อเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกและแนวโน้มต่าง ๆ ต่อธุรกิจหรือองค์กร ประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ คือความรวดเร็วและประสิทธิภาพ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาธุรกิจต่าง ๆ จะรวบรวมข้อมูลและดำเนินการวิเคราะห์และค้นพบข้อมูลที่ซ่อนอยู่ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจในอนาคตได้ วันนี้ธุรกิจสามารถระบุข้อมูลเชิงลึกเพื่อการตัดสินใจได้ทันที ความสามารถในการทำงานได้เร็วขึ้นและคล่องตัว – ช่วยให้องค์กรมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำไมการวิเคราะห์ Big Data จึงมีความสำคัญ การวิเคราะห์ Big Data ช่วยให้องค์กรควบคุมข้อมูลของพวกเขาและใช้เพื่อระบุโอกาสใหม่ ๆ ในทางกลับกันนำไปสู่การเคลื่อนไหวทางธุรกิจที่ชาญฉลาดเพื่อการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลกำไรที่สูงขึ้นและลูกค้าที่มีความสุขมากขึ้น ในรายงาน Big Data ใน บริษัท ขนาดใหญ่โดยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Tom Davenport ให้สัมภาษณ์ว่า มากกว่า 50 ธุรกิจใช้และทำความเข้าใจว่าพวกเขาใช้ Big Data อย่างไร และพบว่าสามารถช่วยเหลือธุรกิจได้ดังต่อไปนี้ 1. ลดต้นทุน : เทคโนโลยีข้อมูลขนาดใหญ่เช่น Hadoop และการวิเคราะห์บนคลาวด์นำมาซึ่งความได้เปรียบด้านต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพูดถึงการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากรวมทั้งสามารถระบุวิธีการทำธุรกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. เร็วกว่าและตัดสินใจดีกว่า : ด้วยความเร็วของ Hadoop และการวิเคราะห์ในหน่วยความจำรวมกับความสามารถในการวิเคราะห์แหล่งข้อมูลใหม่ๆ ของธุรกิจจะสามารถสร้างข้อมูลได้ทันทีและสามารถดำเนินการต่อได้ทันทีจากการวิเคราะห์นั้น ๆ 3. ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ : ด้วยความสามารถในการวัดความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าผ่านการวิเคราะห์นำมาซึ่งสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งยกตัวอย่างโดย ดาเวนพอร์ท สามารถชี้ให้เห็นว่าด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ของบริษัทต่างๆ จะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี (Hadoop เป็นซอฟต์แวร์ open-source ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็น framework ในการทำ distributed processing สำหรับข้อมูลขนาดใหญ่ จุดเด่นข้อนึงของ Hadoop ก็คือ ออกแบบมาให้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบไม่ต้องแรงมากได้ด้วย การจะขยาย scale ในอนาคต ก็สามารถเพิ่มเครื่องเข้าไปได้ง่ายๆ เลย แถมยังมีระบบสำรองข้อมูลให้โดยอัตโนมัติอีกด้วย )Cr : https://www.sas.com/en_us/insights/analytics/big-data-analytics.html
30 พ.ค. 2020
หัวใจของการสร้าง FinTech คืออะไร
FinTech (Financial Technology) คือ กลุ่มธุรกิจที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำให้การบริการที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การทำธุรกรรมรับ-จ่าย-โอนเงินออนไลน์ของธนาคาร หรือการวิเคราะห์ข้อมูลหุ้นเพื่อช่วยการตัดสินใจของนักลงทุน โดยบริการเหล่านี้มักจะอยู่ในรูปแบบของบริการออนไลน์แทบทั้งสิ้น ด้วยเหตุที่ FinTech เป็นกลุ่มธุรกิจที่นำเสนอบริการในช่องทางใหม่ ๆ หลักการที่เคยใช้ได้ดีในการสร้างสินค้าแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป วันนี้ เรามาดูกันว่า หัวใจของการสร้างสินค้าหรือบริการใน FinTech ให้ประสบความสำเร็จ มีอะไรบ้าง แก้ปัญหาได้ตรงจุด ต้องมองให้ออกว่าลูกค้ามีปัญหาอะไร แล้วเสนอวิธีการแก้ไขอย่างสร้างสรรค์ เราสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยสร้างพฤติกรรมการใช้บริการใหม่ ๆ ให้ผู้บริโภคได้ โดยดูจากตัวอย่างความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เช่น ตัดปัญหาเวลาทำการของธนาคารด้วยการทำธุรกรรมบน iBanking หรือลดเวลาการเดินทางไปห้างสรรพสินค้าด้วยการ Shopping Online ใช้งานง่าย เพราะการใช้ชีวิตทุกวันนี้ก็ยากพอแล้ว ลูกค้าจึงมองหาบริการที่ใช้งานได้ง่าย และให้ประสบการณ์ที่ดีระหว่างการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเว็บไซต์ที่เรียบง่าย เข้าถึงได้ทั้งจากเดสก์ท็อปและมือถือ ความสะดวกรวดเร็วในการติดตั้งแอปพลิเคชัน การใช้งานผ่าน user interface ที่เข้าใจง่าย สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกไม่ว่าจะเป็นลูกค้าในช่วงอายุใด ๆ ก็ตาม มีความปลอดภัย เนื่องจาก FinTech เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางด้านการเงินไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ความปลอดภัยในการใช้บริการย่อมเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ระบบจะต้องมี ทั้งในด้านการรักษาข้อมูลของลูกค้ารวมไปถึงความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ลูกค้าเข้าถึงการบริการได้ง่าย ความสะดวกในการเข้าถึงการบริการถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ตัวอย่างที่เห็นชัดในปัจจุบันนี้ เช่น การสร้าง Mobile application เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการได้ง่าย และสามารถเข้าใช้งานจากที่ใดก็ได้ เปรียบเสมือนจับเอาบริการหน้าร้านใส่ในมือของลูกค้า ซึ่งทุกวันนี้ ใคร ๆ ก็ใช้ smartphone ดังนั้น การสร้าง Mobile application จึงเป็นอีกหนึ่งบริการที่ไม่ควรมองข้าม ตรง life style ของกลุ่มเป้าหมาย ยกตัวอย่างเช่น หากกลุ่มลูกค้าเป็นนักวิเคราะห์ ชอบอ่านตัวเลข ตีเส้นราคาหุ้น และวิเคราห์ข้อมูลในเชิงลึก การใช้บริการผ่านเว็บไซต์หรือโปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ดูจะเป็นสิ่งที่เหมาะสม เนื่องจากการใช้งานบนแท็บเล็ตหรือมือถืออาจจะมีข้อจำกัดในหลาย ๆ ด้าน แต่หากเป็นบริการง่าย ๆ เช่น การชำระเงิน โอนเงิน หรือธุรกรรมอื่น ๆ ที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน การทำธุรกรรมเหล่านี้บนมือถือก็จะให้ความคล่องตัวกับผู้ใช้งานมากกว่า มีระบบรองรับที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการบริการด้านใดก็ตาม ระบบจะต้องมีความสามารถในการนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถรองรับการใช้งานของลูกค้าจำนวนมากได้อย่างเหมาะสม จะต้องมั่นใจว่าระบบยังสามารถให้บริการลูกค้าได้ แม้จะมีจำนวนลูกค้าหลาย ๆ ท่านเข้าใช้งานพร้อม ๆ กันก็ตาม อีกทั้งควรมีแผนสำรอง ในกรณีระบบหลักเกิดมีปัญหาใช้งานไม่ได้ด้วย ตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็วการบริการที่ดีควรจะปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ เพื่อรักษากลุ่มลูกค้า นอกจากการนำ feedback มาพัฒนาและปรับปรุงบริการแล้ว การเห็นปัญหาและความต้องการในอนาคต ก็จะทำให้บริการของเราทันสมัยอยู่เสมอครับ ความสำเร็จของ FinTech อาจจะวัดได้จากหลายด้าน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การมุ่งที่จะแก้ปัญหาให้กับลูกค้า สามารถเป็นคำตอบในระยะยาวให้กับลูกค้าได้ โดยที่ลูกค้าไม่เลิกหรือเปลี่ยนไปใช้บริการเจ้าอื่น และในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย
30 พ.ค. 2020
How to navigate the Digital Transformation Maze
Digital Transformation การดำเนินการเกี่ยวกับ Digital Transformation เป็นความพยายามครั้งยิ่งใหญ่สำหรับ บริษัท ทุกขนาด แต่อาจลำบากสำหรับองค์กรขนาดใหญ่โดยเฉพาะ การแปลงระบบดิจิตอลส่งผลกระทบต่อทั้งองค์กรและต้องการการเปลี่ยนแปลงจำนวนมากจากทุกไตรมาส ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้ Digital Transformation ที่ประสบความสำเร็จมีลักษณะอย่างไร มันไม่ใช่การกระทำที่ทำเสร็จแล้วที่ธุรกิจสามารถทำได้ แต่เป็นชุดของการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเมื่อเวลาผ่านไป เช่นทาง One CIO การย้ายของ Rob Alexander เพื่อดูแลการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของทีม DevOps ของเขาเพื่อเร่งการสร้างซอฟต์แวร์ เขาเข้าใจถึงบทบาทสำคัญที่เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนและจะยังคงดำเนินต่อไปในด้านการธนาคารและพยายามที่จะดำเนินการใช้งาน Digital Transformation เพื่อให้องค์กรของเขาสามารถสร้างซอฟต์แวร์ได้อย่างยอดเยี่ยม วิธีการขับเคลื่อน Digital Transformation ไม่น่าแปลกใจสำหรับทุกคน ณ จุดนี้ว่าองค์กรดั้งเดิมกำลังรับมือกับการเปลี่ยนแปลงแบบดิจิทัล แต่การขับเคลื่อน Digital Transformation อาจเป็นเรื่องยากเนื่องจากส่วนหนึ่งของความจริงที่ว่ากิจการอาจจจะมีลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อยสำหรับแต่ละธุรกิจที่ดำเนินการในแต่ละรูปแบบ ในบทความนี้ผู้เขียน Barry Libert , Megan Beck และ Yoram Wind ได้วางกระบวนการห้าขั้นตอนของพวกเขาที่เรียกว่า PIVOT เพื่อช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่าเป็นระเบียบ - P คือจุดเริ่มต้นของธุรกิจคุณ - I คือ ทรัพย์สินทั้งหมดขององค์กรของคุณ - V คือ สร้างอนาคตใหม่ในฐานะเครือข่ายดิจิตอล - O คือ เครือข่ายของธุรกิจของคุณ - T คือ ติดตามความคืบหน้าของการริเริ่มเครือข่ายของคุณ คำถามที่ถามก่อนที่คุณใช้งาน Digital Transformation หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดของบทความนี้คือ Digital Transformationไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อตกลงเดียวเท่านั้น มันเป็นกระบวนการต่อเนื่องสำหรับองค์กรที่จะดำเนินการ คำถามที่สำรวจที่นี่นอกเหนือไปจากการประเมินทรัพยากรที่จำเป็นในการใช้เทคโนโลยีใหม่และท้าทายซึ่งจะให้คิดอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขากำลังทำอยู่ พวกเขาเริ่มต้นด้วยคำถามที่หลายคนอาจไม่คิดว่าจะถาม เช่น คุณทำการอัพเกรดดิจิตอลหรือ Digital Transformationหรือไม่? เพื่อนำไปสู่ Digital Transformation ซีอีโอต้องจัดลำดับความสำคัญ ในบทความนี้ผู้เขียน Laurent-Pierre Baculard กล่าวว่าการเป็นผู้นำทางดิจิทัลนั้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยีการทำความเข้าใจ การเป็นผู้นำแบบดิจิทัลนั้นเกี่ยวกับ“ การสร้างองค์กรที่มีความคล่องตัวซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่าการเปลี่ยนแปลงประเภทใดมีความสำคัญและตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยโซลูชั่นที่มีการแข่งขันสูงที่สุด” เขาแนะนำว่าซีอีโอจะมองภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงที่องค์กรของพวกเขาจำเป็นต้องได้รับและดำเนินการสามขั้นตอนสำคัญเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนั้น เช่น กำหนดว่าการเปลี่ยนแปลงใดที่จำเป็นที่สุด ทีละขั้นตอนก่อนทำการเปลี่ยนแปลงและมอบอำนาจให้ผู้คนนองค์กร ไม่มีเรื่องไหนที่ง่าย เนื่องจากผู้เขียนแต่ละคนชี้ให้เห็นว่าการนำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลไม่ใช่งานเล็ก ๆ และมันจะดูแตกต่างจากองค์กรต่าง ๆ หรือแม้แต่กับองค์กรเดียวกันในเวลาต่างกันชิ้นส่วนที่สำคัญของปริศนานี้คือการจัดการการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับDigital Transformation ก็คือ หัวข้อที่ควรค่าการดำเนินการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา ซึ่งนำที่ประสบความสำเร็จจะไม่ต้องเกรงกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ แต่จะทำอย่างดีที่สุดเพื่อนำทางแห่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเพื่อเตรียมพร้อมให้กับองค์กรเพื่อเข้าสู่อาณาจักรแห่งดิจิตอลนั่นเอง
30 พ.ค. 2020
IoT กับ 6 อุตสาหกรรมที่มุ่งหน้าสู่รูปแบบดิจิทัล
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกต่างกำลังมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล ซึ่งรวมถึงการบรรจุ Industrial Internet of Things หรือ IIoT ลงไปในแผนเทคโนโลยีแห่งชาติหรือเฟรมเวิร์กของแต่ละประเทศ เพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับเศรษฐกิจและสวัสดิภาพทางสังคม หลายประเทศที่กำลังมุ่งสู่ IoT ได้มีการพัฒนาศักยภาพของตัวเองในหลาย ๆ ด้านเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ ภาพที่ชัดเจนคือประเทศเหล่านั้นมีการเพิ่มการลงทุนในเรื่องของบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาและนำโซลูชัน IIoT มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ สิ่งที่เป็นศูนย์รวมของแผนงานแห่งชาติหรือจุดร่วมเดียวกันที่เห็นได้บ่อยคือเรื่องของความริเริ่มด้านความอัจฉริยะ เช่น Smart Factory, Smart City หรือ Smart Grid เหล่านี้ล้วนได้รับการออกแบบมาเพื่อขับเคลื่อนความมีประสิทธิภาพและกระตุ้นการเติบโตให้กับเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง สมาคมอินเตอร์เน็ตเพื่ออุตสาหกรรม หรือ IIC (Industrial Internet Consortium) มีความสนใจอย่างยิ่งในการสร้างแอพพลิเคชัน IIoT ที่ช่วยปรับปรุงและสร้างความแข็งแกร่งให้กับส่วนที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติและประเทศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังงาน การดูแลสุขภาพ เกษตรกรรม การขนส่ง การผลิต และการศึกษา ซึ่งการทำให้เสาหลักด้านเศรษฐกิจเหล่านี้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และให้ผลิตผลที่ดี ก็จะเป็นการช่วยกระตุ้นให้ได้ผลิตภัณฑ์มวลรวมที่ดีขึ้นเช่นกัน สิ่งที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความสนใจเรื่องนี้ก็คือ IIC ได้อนุมัติให้มีการจัดตั้ง “ศูนย์ทดสอบ” (Testbeds) แห่งใหม่กว่า 40 แห่งขึ้นในเวลาอันรวดเร็วแค่ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ศูนย์ทดสอบเหล่านี้คือห้องปฏิบัติการที่ใช้ในการทดสอบและพัฒนาแอพพลิเคชัน IIoT อย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากศูนย์ทดสอบคาดว่าในปี 2018 จะมี 6 อุตสาหกรรมที่นำ IIoT มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง คือ 1. อุตสาหกรรมด้านพลังงาน การนำ IIoT มาใช้จะเพิ่มความฉลาดของระบบพลังงานและระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานจากท่อส่งอัจฉริยะ (Smart Pipelines) ถึงมิเตอร์อัจฉริยะ (Smart Meters) และโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ทุกแง่มุมของการสร้างและส่งต่อพลังงานล้วนถูกทำให้มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น พึ่งพาอาศัยกันได้มากขึ้น และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย เพื่อตอบสนองความกระหายพลังงานของโลก IIoT ไม่ได้เป็นแค่ความก้าวหน้าในการผลักดันด้านการกระจายพลังงานและการสื่อสารผ่านโครงข่ายหรือกริด แต่ยังเป็นการปรับปรุงกระบวนการดำเนินการหลัก ๆ ได้แก่ เรื่องของการตรวจสอบสถานะการทำงานได้จากระยะไกล การซ่อมบำรุงที่คาดการณ์ได้ การควบคุมที่ล้ำหน้า ความปลอดภัยรวมถึงการรักษาความปลอดภัย เราเรียกรวมกันว่า พลังงานอัจริยะ หรือ Smart Energy แต่ละองค์ประกอบของสิ่งที่กล่าวมาช่วยเรื่องของอัพไทม์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่อุปกรณ์หรือระบบต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเต็มที่ ในเรื่องของประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสินทรัพย์ด้านพลังงาน ผ่านการใช้ซอฟต์แวร์ เซนเซอร์ การเชื่อมต่อ และการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ระบบการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นผ่าน IIoT จากการที่อายุคาดเฉลี่ยของคนทั่วไปเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพโดยเฉลี่ยสูงกว่า 10% ของ GDP ในระดับชาติของทั่วโลก ได้สร้างความกดดันให้กับรัฐบาลในการหาวิธีลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลรักษาสุขภาพในขณะที่ต้องปรับปรุงและขยายการดูแลสุขภาพประชากรให้ได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังต่อเนื่อง IIoT จึงเป็นหัวใจหลักในการปรับปรุงการนำเสนอบริการสำคัญด้านการดูแลสุขภาพผ่านการเชื่อมต่อและการแบ่งปันข้อมูล ซึ่งเป็นเหตุผลของการสร้างศูนย์ทดลอง Connected Care ของ IIC สมาชิกของศูนย์ดังกล่าวต่างมุ่งเน้นในการสร้างระบบนิเวศด้านการดูแลสุขภาพผ่าน IIoT ในระบบเปิดไว้สำหรับสอดส่องดูแลผู้ป่วยที่อยู่ที่บ้านหรือที่อยู่ระยะไกล เพื่อให้ทางเลือกแก่ผู้ป่วยที่ต้องการพักอยู่ที่บ้าน โดยมีระบบบริหารจัดการจากระยะไกลที่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดีไว้สำหรับคอยติดตามดูอาการของผู้ป่วยเรื้อรัง สิ่งนี้มอบศักยภาพในการสร้างโซลูชันในราคาเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ดูแลมีโอกาสดูแลผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพแม้จะอยู่นอกออฟฟิศก็ตาม 3. เกษตรกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจากการคาดการณ์ของสหประชาชาติ จำนวนประชากร 7,400 ล้านคนในปัจจุบันจะเพิ่มขึ้นเป็น 11,000 ล้านคนภายในปี 2020 ซึ่งความสำเร็จในการทำเกษตรกรรมให้ได้ผลิตผลมากยิ่งขึ้น คืนสภาพได้ดี และมีความยั่งยืนนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่อการดำรงชีพ และ IIoT ก็เข้ามาอยู่แถวหน้าของความคิดในเรื่องนี้ ในศูนย์ทดสอบด้านการจัดการผลผลิตได้อย่างแม่นยำ (Precision Crop Management) ของสมาคมอินเตอร์เน็ตเพื่ออุตสาหกรรม หรือ IIC ผู้จำหน่ายได้ร่วมมือกันพัฒนาแนวทางที่ดียิ่งขึ้นในการสร้างผลผลิตเพิ่มขึ้น พร้อมกับการลดต้นทุนเพื่อพยายามแก้ปัญหาความยากไร้ของโลก แนวทางดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการบูรณาการด้านภาพถ่ายทางอากาศและเทคโนโลยีเซนเซอร์ที่หลากหลาย เพื่อให้มีมุมมองเกี่ยวกับพืชผลในแบบ 360 องศา ได้ใกล้เคียงกับเวลาที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงการส่งผ่านข้อมูลตลอดเวลาแบบ 24/7 ผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์และเครือข่ายเมช พร้อมให้ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจจับความผิดปกติของพืชผลได้ก่อน เพื่อจะได้ดำเนินการแก้ไขได้ทันท่วงที 4. การลดความสูญเสียในการขนส่งด้วยเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายสินค้าหรือผู้คน การขนส่งนับเป็นศูนย์กลางที่ช่วยให้เศรษฐกิจหรือสังคมดำเนินไปอย่างราบรื่น และมีผลกระทบแผ่ขยายไปถึงเรื่องผลิตผล สุขภาพ และสภาพภูมิอากาศ ผู้ที่เข้าถึง IIoT ได้ก่อนนั้นมองว่า IIoT สามารถช่วยในเรื่องต่อไปนี้ได้ • สร้างระบบขนส่งที่สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและดำเนินการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วในแบบเรียลไทม์ • เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและความปลอดภัยของสาธารณะ ลดช่วงเวลาดาวน์ไทม์ และดูแลเรื่องของการบำรุงรักษาระบบหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ในเชิงป้องกันก่อนที่จะเกิดความขัดข้องกับชิ้นส่วนเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ด้วยการวิเคราะห์และดำเนินการแก้ไขตามข้อมูลที่ได้จากตรวจสอบเซนเซอร์และเครื่องจักรที่อยู่แวดล้อม (ในเรื่องอุณหภูมิ ความชื้น ความกดอากาศ ฯลฯ) • ระบุเส้นทางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานจากการวิเคราะห์ความสามารถ 5. ภาคการผลิตและระบบซัพพลายเชนกับการดำเนินงานที่ชาญฉลาดมากขึ้นจุดที่ให้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดสำหรับการนำนวัตกรรมด้าน Internet of Things สำหรับภาคอุตสาหกรรมมาใช้ ก็คือในภาคการผลิตซึ่งปัจจุบันพัฒนาไปสู่โรงงานอัจฉริยะแห่งอนาคต (Smart Factory) IIoT ให้ความสามารถในการปรับปรุงประสิทธิภาพและผลลัพธ์ได้อย่างมากมายมหาศาล ทั้งในเรื่องของกระบวนการผลิตไปตลอดทั่วทั้งซัพพลายเชนด้วย IIoT กระบวนการผลิตจะควบคุมการทำงานได้ด้วยตัวเองจากเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีความชาญฉลาด สามารถดำเนินการแก้ไขเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเหตุขัดข้องแบบที่ไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้า โดยจะมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้เองโดยอัตโนมัติจากการนำข้อมูลเรียลไทม์มาใช้ และอุปกรณ์ดิจิทัลแบบพกพาทุกชิ้นในโรงงานจะต้องรายงานสถานะของอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ซ่อมอยู่ และสามารถใช้มือถือของเจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลการดำเนินงานได้แบบเรียลไทม์ โดยตัวเซนเซอร์ของอุปกรณ์สวมใส่จะติดตามตำแหน่งของพนักงานในโรงงานแต่ละคนได้ ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น และที่กล่าวมาก็เป็นประโยชน์เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น 6. ห้องเรียนที่เชื่อมต่อกันได้ทั่วโลก และการเปลี่ยนโฉมหน้าของการศึกษา บทบาทในเชิงกลยุทธ์ของการศึกษาในการนำโซลูชัน IIoT มาช่วยให้บรรลุผลเป็นสิ่งที่ถ้าไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ ทั้งนี้สิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้ล้วนเป็นผลกระทบจาก IIoT เนื่องจากห้องเรียนต่าง ๆ มีการเชื่อมต่อออนไลน์มากขึ้น และมีอุปกรณ์เชื่อมต่อมากขึ้นเช่นกัน เหล่านี้ช่วยให้นักเรียนเข้าถึงเนื้อหาได้ใกล้เคียงความจริงมากยิ่งขึ้น ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในหนังสือเรียน นอกจาก IIoT จะช่วยเปลี่ยนโฉมหน้าการศึกษาแล้ว การศึกษายังมีบทบาทสำคัญในการนำเสนอ IIoT ด้วยเช่นกัน ประเทศต่าง ๆ จะต้องขยายการลงทุนในเรื่องของ STEM Education (ซึ่งเป็นแนวทางการศึกษาที่บูรณาการความรู้ระหว่างศาสตร์วิชาแขนงต่าง ๆ อันประกอบไปด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) เพื่อผลักดันนวัตกรรม IIoT ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ปัจจุบัน การพึ่งพาอาศัย IIoT นี้เห็นได้ชัดในประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะยังมีตำแหน่งงานว่างในภาคการผลิต แม้จะมีการจ่ายค่าจ้างสูงก็ตาม เนื่องจากขาดแรงงานที่มีคุณสมบัติ สำหรับประเทศไทยนั้น IoT เป็นเรื่องใหม่ที่ทุกภาคส่วนกำลังให้ความสำคัญ โดยในส่วนของภาครัฐนั้น สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ริเริ่มโครงการ Phuket Smart City Innovation Park เพื่อพัฒนาภูเก็ตให้เป็นเมืองต้นแบบในการก้าวสู่ Smart City ซึ่งงานที่สำคัญอย่างหนึ่งของ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล คือ การจัดตั้งศูนย์ IoT Lab เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาเทคโนโลยี IoT ของประเทศ loT Lab จะเป็นศูนย์กลางให้นักเรียน นักศึกษา รวมถึงผู้ประกอบการที่สนใจได้เข้ามาเรียนรู้และทดสอบการใช้งานของเทคโนโลยี IoT รวมถึงการจัดอบรมให้ความรู้ในหลักสูตรที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ระดับเริ่มต้น กลางไปจนถึงระดับสูงสุด ภายใต้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และกลุ่มเมคเกอร์คลับในจังหวัดภูเก็ต IoT Lab จึงเป็นหนึ่งในโครงการที่สำคัญของสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Digital Economy ตามแผนงานของรัฐบาลที่จะผลักดันประเทศไทยก้าวสู่ Thailand 4.0
30 พ.ค. 2020
องค์ประกอบของพฤติกรรม Behavior Factors
พฤติกรรมคือการแสดงออก หรือ การกระทำของบุคคลต่อสิ่งที่มากระทบ หรือมาเร้าเรา โดยคนเราจะแสดงออกซึ่งพฤติกรรมใดก็ตาม เขาจะต้อง 1. รับรู้/ความเชื่อ (Perceive/Believe) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ 2. ความคิด/ทัศนคติ (Attitude/Thinking) จึงจะเกิดการแสดงออกพฤติกรรมซึ่งก็แบ่งเป็นทางบวก หรือทางลบ ด้วยผู้รับรู้ เป้าหมาย สถานการณ์ ประกอบกับ ความคิดหรือ ทัศนคติที่แตกต่างกันทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาของพนักงาน ทั้งคำพูด บุคลิกภาพแตกต่างกัน ที่ ปัจจัย การประยุกต์ใช้ 1 ความตั้งใจจริงและความมีวินัยในตนเองจัดเป็นปัจจัยที่สำคัญ - เริ่มต้นจากกำหนดจุดประสงค์ -เดินตามแผนที่วางไว้ 2 ความรู้และทักษะที่เหมาะกับพฤติกรรม - มั่นใจว่ามีความรู้ในเรื่องที่ต้องการเปลี่ยนอย่างถูกต้อง เช่นต้องการลดน้ำหนักก็ต้องรู้อาหารอะไรเหมาะกับเรา หรือ ออกกำลังแบบไหนดี 3 สังคมเป็นแรงจูงใจ ครอบครัว เพื่อน ผู้ร่วมงานมักมีอิทธิพลต่อเรา - คนรอบตัวเราจะช่วยให้เราเดินไปตามเป้าหมายที่กำหนด - เขาย่อมอยากเห็นเรามีความสุขหากสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ - มั่นใจว่าบอกคนใกล้ตัวเราในเรื่องที่เราจะเปลี่ยนพฤติกรรม - อธิบายเป้าหมายและทำไมเราถึงมุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จ 4 ความสามารถทางสังคม หาคนใกล้ตัวที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้สำเร็จ เพื่อขอให้เขาช่วยแนะนำ ช่วยวางแผน - หาผู้ที่จะช่วยเราเปลี่ยนพฤติกรรม อาจเป็นเพื่อน คนรู้จัก ที่ปรึกษา - ผู้ช่วยนี้จะทำให้เป้าหมายที่เรากำหนดไว้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ - นอกจากนั้นเราจะได้คำแนะนำ จากผู้ชี้แนะด้วย 5 โครงสร้างแรงจูงใจ ไม่สามรถบอกได้ว่ารางวัลอะไรดีที่สุด (เพราะขึ้นกับแต่ละคน) - มีทั้งการให้รางวัลและลงโทษ - ควรกำหนดรางวัลเพื่อการจูงใจ 6 โครงสร้างความสามารถ กำหนดโครงสร้างเพื่อให้การทำสิ่งดี ๆ ทำได้ง่ายกว่าสิ่งที่ไม่ดี -จัดสภาพแวดล้อมใหม่เพื่อให้ทำสิ่งที่ถูกต้องง่ายขึ้น - เขียนเวลาที่ความตั้งใจและความมีวินัยของตนเองไม่เป็นไปตามแผน ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง : 6 Factors That Influence Our Behavior, willpower.co
29 พ.ค. 2020
ทัศนคติคือทุกอย่างในชีวิต Attitude is Everything
ทัศนคติใช้ในการประเมินสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่ชอบใจและไม่ชอบใจ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดพฤติกรรม (Behavior) ทัศนคติ และ คุณค่า (Value) มีความเกี่ยวข้องกันแต่ไม่ใช้อันเดียวกัน ทัศนคติเกี่ยวข้องกับ 3 อย่างคือ ความคิด (Cognitive) ผลกระทบ (Affect) และ พฤติกรรม (Behavior) ทัศนคติเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะมีผลกระทบต่อพฤติกรรมการทำงาน ทั้งการมีส่วนร่วมและความพอใจในงานที่ทำ ทัศนคติมิใช่เฉพาะในงานเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับตัวเราเองด้วย หลายคนรับรู้สิ่งที่มากระทบแล้วคิดต่อถ้าคิดดีก็ไม่นำปัญหามาให้ แต่ถ้าคิดไม่ดีก็อาจนำผลลบมาสู่ชีวิต ดังที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ตัวอย่างแบบสำรวจทัศนคติ ตอบคำถามต่อไปนี้ 5 = เห็นด้วยอย่างยิ่ง 4 = เห็นด้วย 3 = ไม่สามารถตัดสินใจได้ 2 = ไม่เห็นด้วย 1 = ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ที่ เรื่อง คะแนน 1 หน่วยงานงานนี้เป็นสถานที่ทำงานที่ดี 2 ถ้าฉันพยายามมากกว่านี้ ฉันคงทำงานที่นี่ได้ 3 อัตราค่าแรงของหน่วยงานแข่งกับหน่วยงานอื่นได้ 4 ยุติธรรมในการตัดสินใจเลือกพนักงานเพื่อทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้น 5 ฉันเข้าใจในผลประโยชน์หลากหลายที่หน่วยงานจัดให้ 6 ฉันได้ใช้ความสามารถเต็มที่ในงานที่ทำ 7 งานที่หนักของฉันเป็นความท้าทายไม่ใช้เป็นภาระ 8 ฉันเชื่อใจและมั่นใจในหัวหน้า 9 ฉันสามารถบอกหัวหน้าในสิ่งที่คิดได้ทุกเรื่อง 10 ฉันรู้ว่าหัวหน้าคาดหวังอะไรจากฉัน เทคนิคการพัฒนาทัศนคติเชิงบวก 1. ออกกำลังกาย 2. พักผ่อนให้เพียงพอ 3. ตื่นอย่างกระฉับกระเฉง 4. ร้องเพลงระหว่างอาบน้ำ 5. เดินให้เร็วเข้าไว้ 6. ทักทายเชิงบวก 7. มองปัญหาให้เป็นโอกาส 8. เริ่มต้นวันด้วยการคิดว่าจะไปช่วยหรือ บริการใครอย่างไรบ้าง 9. สังคมกับคนที่ทัศนคติเป็นเชิงบวก 10. อ่านหนังสือที่เสริมสร้างกำลังใจ 11. เชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ หากพยายาม 12. ลองทำก่อนปฏิเสธ สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรามีแค่ 10% แต่ อีก 90% อยู่ที่เราตอบสนองต่อสิ่งที่มากระทบกาย ใจ เราแค่ไหน
29 พ.ค. 2020
วงล้อการเปลี่ยนแปลง Change Cycle
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงในหน่วยงาน หรือแม้แต่ในชีวิตเรา หากเป็นไปในทางที่ดี แต่การสื่อสารไม่ดีพอปัญหาก็ตามมา เช่นหน่วยงานมีการนำเครื่องจักรมาช่วยให้ทำงานเร็วขึ้นโดยไม่ได้บอกพนักงาน ก็อาจทำให้พนักงานเข้าใจผิดคิดว่าเอาเครื่องจักรมาแทนได้ นั่นเป็นเพราะขาดการสื่อสารภายในหน่วยงาน ยิ่งถ้าการเปลี่ยนแปลงเป็นในทางที่ไม่ดี เช่นงานเพิ่มขึ้นแต่รายรับไม่เพิ่มตาม มีการโยกย้ายแต่พนักงานไม่ต้องการ นำระบบใหม่ ๆ มาใช้ในหน่วยงาน การเปลี่ยนแปลงจะได้ผลขึ้นกับระยะเวลา ความมั่นใจ ขวัญและกำลังของพนักงาน รวมทั้งผลสำเร็จที่ได้หลังการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น พนักงานพิมพ์ดีดอายุมาก เคยใช้แต่เครื่องพิมพ์ดีด ต่อมาหน่วยงานนำคอมพิวเตอร์มาใช้ พนักงานยังไม่มีความมั่นใจในทักษะ ตอนแรกพนักงานจึงอาจปรับตัวไม่ได้ แต่พอระยะเวลาผ่านไปพอสมควรพนักงานก็สามารถสร้างทักษะในการพิมพ์ดีด เพราะทำทุกวัน ประกอบกับมีน้อง ๆ ช่วย พนักงานพิมพ์ดีดสูงอายุก็สามารถทำได้เป็นปกติ นอกจากนั้นยังขึ้นกับพฤติกรรมหน่วยงาน และทีมงาน ด้วย วงล้อการเปลี่ยนแปลง (Change Cycle) จากภาพ ขั้นตอนที่ 1 ปฏิเสธ อาการสับสนของที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงจะเปิดเผยให้เห็นจากสีหน้า แววตา พฤติกรรม ส่วนขั้นตอนที่ 2 จะเป็นการซ่อนเร้น คือเป็นความคิดภายในใจของแต่ละคน ถ้าไม่หาทางแก้ไขก็อาจทำให้พนักงานคับข้องใจ หยุดงานโดยไม่บอกกล่าว ถ้าข้ามขั้นตอน 1 -2 ได้เร็วเท่าไหร่ การพัฒนา และ เปลี่ยนก็จะก้าวไปข้างหน้าเร็วขึ้น นั่นคือ ขั้นที่ 3 และ 4 4 ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพร้อมการแก้ไข ที่ ขั้นตอน พฤติกรรม การแก้ไข 1 ปฏิเสธ - ไร้ความรู้สึก - สับสน - ให้ข้อมูลเพียงพอ - ให้เวลาค่อย ๆ ซึมเข้าไป 2 ต่อต้าน - ไม่แน่ใจตนเอง - โกรธ - เศร้าใจ - กังวล - เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น - แชร์ประสบการณ์ 3 ค้นหา - ยอมรับ - เน้นอนาคต - ระดมสมอง - คาดการณ์ - วางแผน 4 มุ่งมั่น พอใจ - เน้นเรื่องใหม่ - ปรับความคิด - สร้างทีมงาน - พัฒนา - ให้รางวัล
29 พ.ค. 2020
ทำอย่างไรให้คนเปลี่ยนแปลงได้ตามเป้าหมายที่กำหนด
เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ลองตรวจสอบเป้าหมายที่กำหนดดังนี้ ขั้นตอนเพื่อการกำหนดเป้าหมายให้ประสบความสำเร็จ 1. มีความเชื่อ เป็นสิ่งแรกในการกำหนดเป้าหมายคือต้องเชื่อว่าแน่วแน่ในเป้าหมาย และ กระบวนการเพื่อให้เป้าหมายสำเร็จ เพราะความเชื่อก่อให้เกิดพฤติกรรม หากเราไม่มีความเชื่อในเป้าหมาย และ กระบวนการที่กำหนดว่าจะทำได้สำเร็จ ก็ลองพิจารณารอบ ๆ ตัวเพื่อหาแรงจูงใจ/บันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงตนเอง 2. เห็นภาพสิ่งที่ต้องการอย่างชัดเจน คิดว่าอะไรคือสิ่งที่เราปรารถนาที่จะได้ในชีวิต อีก 1 ปีข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร อีก 5 ปี เราจะยืนอยู่ตรงไหน 3. เขียนเป้าหมายที่ต้องการลงในกระดาษ พร้อมติดในจุดที่เราจะเห็นได้ทุกวัน การที่เราไม่เขียนเป้าหมายและติดให้เห็นอย่างชัดเจน ก็เป็นไปได้ว่าเราจะลืมเป้าหมายนั้น 4. วัตถุประสงค์ การรู้ว่าทำไมต้องทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จจะสร้างพลังให้กับตนเอง เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งต้องการลดความอ้วนเพราะเธอมีเป้าหมายคือการมีแฟน แล้วเธอก็ทำได้สำเร็จ หรือ การเก็บเงินให้ได้ 100,000 บาท เพื่อซื้อบ้านให้พ่อแม่ก็จะสร้างแรงจูงใจได้มากกว่าเพื่อเก็บไว้ในธนาคาร 5. มุ่งมั่น คำนี้สำคัญมากที่เป้าหมายไม่สำเร็จเพราะขาดความุ่งมั่น เขียนลงในกระดาษ แต่ละเป้าหมายนี้มีความหมายกับเราเพียงไร ทำไมการมุ่งมั่นในแต่ละเป้าหมายที่เรากำหนดจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา เราจะสร้างความมุ่งมั่นเพื่อให้แต่ละเป้าหมายที่กำหนดสำเร็จได้อย่างไร หากเราขาดความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าพอเราเจออุปสรรคเราก็จะไม่ทำตามกระบวนการที่เราคิด เช่น พอฝนตกก็ไม่ออกกำลังกายแล้ว แต่หากเรามีความมุ่งมั่นฝนตกก็ออกในร่มได้ 6. จดจ่อที่เป้าหมายที่กำหนด การจดจ่อที่เป้าหมายที่กำหนด แรก ๆ เราอาจจะรู้สึกไม่มั่นใจ หรือ รู้สึกว่ายาก แต่เมื่อเราทำไปทุกวันเป้าหมายที่กำหนดก็จะทำได้ง่ายขึ้น การเขียนเป้าหมายติดไว้ในจุดที่เราได้เห็น และ ได้อ่านทุกวันจะทำให้เรารู้ว่าเราทำตามเป้าหมายได้แค่ไหนแล้ว และ อีกแค่ไหนจึงจะสำเร็จ อันจะช่วยสร้างแรงกดดันให้เราเปลี่ยนแปลงหากเราไม่จดจ่ออยู่กับเป้าหมายที่กำหนด 7. วางแผนดำเนินการ จะต้องมีความชัดเจนในสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ รู้วัตถุประสงค์ เขียนเป้าหมายลงในกระดาษ มุ่งมั่นไปให้ถึง จดจ่อเฉพาะเป้าหมายที่กำหนด สิ่งเหล่านี้จะนำเราไปสู่การวางแผนดำเนินการ แม้เราจะไม่ทราบขั้นตอนทั้งหมดในอนาคต แต่เราสามารถวางแผนที่ละขั้นได้ การวางแผนจะช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญก่อน-หลังได้ ทำให้เราไม่ออกนอกเส้นทางที่คิด 8. ลงมือทำทันที ถ้าเราต้องทำอะไรเพื่อให้เป็นไปตามแผน ให้ลงมือทำทันทีไม่รอช้า สิ่งนี้จะเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของเรา เช่นถ้าเป้าหมายของเราคือออกกำลังทุกวันตอนช้า ตื่นมาไปเข้าห้องน้ำ แล้วมาออกกำลังเลย หรือ เป้าหมายคือทำสมาธิทุกวัน ๆ ละ 15 น าทีตอนเช้า ลุกขึ้นมาทำเลย อย่ามัวแต่คิดว่าจะทำอะไรก่อนดี อาบน้ำก่อนดีไม๊ หรือ สวดมนต์ก่อนดี 9. รับผิดชอบ หากติดขัด หรือ มีปัญหาในการกระทำตามแผนงานที่กำหนด ควรหาผู้ที่จะช่วยเราได้ บอกเพื่อน และ คนในครอบครัวถึงเป้าหมายของเรา และ ขอให้เข้าช่วยหากเราติดปัญหา 10. ทบทวน ทุกวันจะต้องทบทวนเป้าหมายที่กำหนด และ การกระทำที่ได้ทำแล้ว สิ่งนี้จะช่วยให้เป้าหมายของเราอยู่ในใจเราตลอดเวลา การทบทวนจะช่วยให้เราเห็นความคืบหน้าของแผนงาน และ เป้าหมาย ทั้งยังสร้างกำลังใจให้เราด้วย เทคนิคการช่วยสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง 1. รู้ความต่อเนื่อง ระวังความต่อเนื่องที่เป็นลบอันจะส่งผลต่อการไม่บรรลุเป้าหมายที่กำหนด 2. ให้รางวัลตนเอง เพื่อแสดงว่าเราทำได้ 3. ทำตามคู่มือ เราจะทำงานได้ดีขึ้นหากเรารู้ว่าเราจะต้องทำอะไรที่ถูกต้อง 4. เมตตาตนเอง รู้ความสามารถของตนเอง 5. กำหนดวันที่ต้องทำงานให้เสร็จ กำหนดวันที่ต้องทำงานให้เสร็จ ไม่เร็วไป และ ไม่ช้าไป และ อย่าเปลี่ยนแปลงกำหนดวันนั้น 6. พัฒนาสภาพจิตใจของทีมที่ดี สร้างสภาพแวดล้อมของความเป็นมิตร 7. มุ่งสู่ผลลัพธ์เป็นสำคัญ ต้องชัดเจนว่าจะทำอะไร และ เน้นเป้าหมายเป็นสำคัญ 8. สร้างความท้าทาย เปิดโอกาสให้ตนเองได้เผชิญกับปัญหาใหม่ ๆ และ ปัญหาที่ยุ่งยาก 9. ปรับปรุงอยู่เสมอ ยกระดับเป้าหมายที่ละนิดอยู่เสมอ เพื่อสร้างความท้าทายในการทำงาน และ ในชีวิตตนเอง 10. สนุก สนุกกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเองจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีขึ้น 11. สื่อสาร รู้ถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นและแก้ไขมัน 12. ปลุกเร้าความกระตือรือร้นอยู่เสมอ รวมสิ่งที่มีในตนเอง และ สร้างภาพความคิดที่ยิ่งใหญ่ให้ตนเอง
29 พ.ค. 2020