Category
การกำหนดเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม
เคยหรือไม่ที่คิดจะทำอะไร หรือฝันจะทำอะไรที่ชอบ บางคนอยากสุขภาพดี บางคนอยากปลูกบ้าน บางคนอยากเที่ยวเมืองนอก ฯลฯ หลายคนได้แต่คิด และส่วนใหญ่มักทำได้แต่ไม่ต่อเนื่อง เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเราไม่ได้นำความคิด หรือ ความฝันนั้นมากำหนดเป้าหมายเพื่อเป็นทิศทางนำไปสู่ความสำเร็จตามที่ต้องการ หากเราต้องการสุขภาพดี เราก็ต้องออกกำลังแล้วเราจะออกกำลังอย่างไรจนสร้างวินัยให้ตนเอง ก็ต้องกำหนดเป้าหมายที่ออกกำลังอย่างไรให้ต่อเนื่อง ถ้าเราต้องการปลูกบ้านเราก็ควรมีภาพบ้านที่เราอยากได้ว่าเป็นแบบไหน ราคาเท่าไหร่ จึงมากำหนดเป้าหมายเพื่อให้สร้างบ้านได้สำเร็จ กฎทองเพื่อการกำหนดเป้าหมาย 1. กำหนดเป้าหมายที่เราปรารถนาจริง ๆ ถามตนเองว่าทำไมเป้าหมายที่นี้จึงสำคัญและมีค่าสำหรับเรา แล้วเราจะจูงใจให้คนอื่นเห็นคุณค่าของเป้าหมายนี้อย่างไร 2. เป้าหมายควรประกอบด้วย SMART เป้าหมายที่ดีจะต้องชัดเจน และเจาะจง และมีทิศทางที่จะทำให้เรารู้ว่าเป้าหมายที่กำหนดจะจบที่ใด Specific = เจาะจง เป้าหมายจะต้องชัดเจน และเจาะจง การกำหนดเป้าหมายก็เพื่อให้เรารู้ว่าจุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่ไหน Measurable = วัดได้ การกำหนดผลอย่างเป็นรูปธรรมจะช่วยให้เราวัดระดับความสำเร็จได้ ดังนั้น หากกำหนดว่า "ลดรายจ่าย" เราจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะทำได้สำเร็จ แต่หากกำหนดว่า "ลดรายจ่าย 1% ภายใน 1 เดือน" หรือ "ลดรายจ่าย 10% ภายใน 2 ปี" Attainable = ทำได้สำเร็จ เป้าหมายที่กำหนดจะต้องมั่นใจว่าทำได้สำเร็จ มิฉะนั้นจะทำให้เราขาดกำลังใจ และทอนความมั่นใจในตัวเองลง อย่างไรก็ตามเป้าหมายที่สำเร็จง่ายเกินไปก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติไม่ตื่นเต้น และกลัวการล้มเหลวหากมีการกำหนดเป้าหมายที่เสี่ยงหรือท้าทายในอนาคต Relevant = เกี่ยวเนื่องกัน เป้าหมายควรเกี่ยวข้องกับทิศทางที่เราต้องการในงาน หรือในชีวิต Time-bound = เวลา เป้าหมายจะต้องมีเวลาสิ้นสุด อันทำให้เรารับรู้ถึงความเร่งด่วน และความสำเร็จเร็วขึ้น รวมถึงรับรู้ว่าจะฉลองความสำเร็จเมื่อไหร่ 3. เขียนเป้าหมายที่ต้องการให้เห็นได้อย่างชัดเจน เพื่อทำให้เห็นเป้าหมายอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมจับต้องได้ เป็นการเตือนตัวเองไม่ให้ออกนอกเส้นทาง keyword คือ ฉัน "จะ" ไม่ใช่ "อยากจะ" - ตัวอย่างเช่น "ปีนี้ฉันจะต้องลดต้นทุนการผลิตลง 10%" แทน "ปีนี้ฉันอยากลดต้นทุน 10%" ถ้าเราต้องการลดอัตราการลาออกของพนักงาน เราควรกำหนดเป้าหมาย "ฉันจะรักษาบุคลากรทั้งหมดที่มีจนถึงไตรมาสหน้า" แทนเป้าที่ว่า "ฉันจะลดปริมาณการลาออกของพนักงาน" จะเห็นว่าเป้าหมายแรกเป็นการสร้างแรงจูงใจที่จะไม่ให้มีการลาออกอย่างเด็ดขาด ในขณะที่แบบที่ 2 เป็นการที่แม้จะทำได้สำเร็จแต่ก็ยังมีการลาออกอยู่ดี - ควบคู่ไปกับการเขียนเป้าหมาย ควรมีการกำหนดตารางการนำเป้าหมายไปปฏิบัติ (To-do-list) อย่างเป็นขั้นเป็นตอน - ติดเป้าหมายเพื่อเตือนความจำไว้หลาย ๆ จุด อาทิบนผนังห้อง หน้าจอคอมพิวเตอร์ 4. กำหนดแผนขั้นตอนการลงมือกระทำ ขั้นตอนนี้ส่วนใหญ่มักข้ามเพราะมุ่งผลลัพธ์เป็นสำคัญ การเขียนขั้นตอนจะช่วยให้เราเห็นความก้าวหน้าของเป้าหมายที่ต้องการทำ โดยเฉพาะเป้าหมายระยะยาว หรือเป้าหมายใหญ่ ๆ 5. ติดอยู่กับเป้าหมายที่กำหนด หมั่นเตือนตนเองถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมทบทวนเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นการกำหนดเป้าหมายจะต้องชัดเจนถึงสิ่งท่ีเราต้องการและทำไมเราจึงต้องการตั้งแต่แรก ทำไมต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เป้าหมายที่ต้องการจะช่วยสร้างพลังขับ (Drive) เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่กำหนด เมื่อมีแรงขับเราก็จะลงมือกระทำ โดยใช้ความสามารถ และคุณค่าที่มี และเมื่อเป้าหมายเป็นไปดังปรารถนาเราจะเข้าใจว่าความหมายของชีวิตคืออะไร จากประสบการณ์คนส่วนใหญ่ไม่มีเป้าหมายจึงทำงานไปเรื่อย ๆ ไม่มีแรงจูงใจ แต่หากมีการกำหนดเป้าหมาย หรือ รู้ความฝันของตนเองแล้วนำความฝันมากำหนดเป้าหมาย เมื่อเขาได้ดั่งฝันเขาก็จะมีความสุขมาก ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง : Golden Rules of Goal, mindtools.com
29 พ.ค. 2020
เทคนิคการเตรียมบุคลากรก่อนแต่งต้ังให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขี้น
การสนับสนุนให้บุคลากรภายในหน่วยงานเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นนั้น นอกจากจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้พนักงาน แล้ว ยังช่วยให้พนักงานเห็นคุณค่าในตนเองด้วย ทั้งนี้หน่วยงานควรมีการกำหนดระบบความก้าวหน้าในอาชีพ (Career Path) และเตรียมการพัฒนาพนักงานให้พร้อมทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้น เทคนิคการเตรียมบุคลากรก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น 1. กำหนดความรู้ ทักษะที่ต้องการในตำแหน่งนั้น ๆ เช่นเราต้องการปรับตำแหน่งให้พนักงานขึ้นเป็นผู้บริหารระดับต้น คุณสมบัติที่เราต้องการแบ่งเป็น ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น การวางกลยุทธ์ วางแผนงาน การเป็นผู้นำทีมงาน การสอนงานพนักงานระดับปฏิบัติการ การบริหารงบประมาณ การค้นหาและ แก้ไขปัญหา ประเมินผลการปฏิบัติงาน เป็นต้น 2. เลือกพนักงานที่มีความเป็นไปได้ในการดำรงตำแหน่งนั้น ๆ โดยสามารถเลือกผู้ที่มีความเป็นไปได้ได้มากกว่า 1 คน 3. กำหนดเกณฑ์คัดเลือกเพิ่มเติม หากไม่สามารถเลือกได้จากหลักเกณฑ์การคัดเลือกที่กำหนด (ไม่ควรมีแค่หลักเกณฑ์การคัดเลือกเดียว) และควรบอกผู้สมัคร หรือ ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่หน่วยงานเลือกว่าตำแหน่งนั้น ๆ เป็นตำแหน่งอะไร ต้องทำอะไรบ้าง ส่วนใหญ่จากตำแหน่งพนักงานแล้วได้รับการโปรโมตให้เป็นผู้บริหารระดับต้นมักมีคุณสมบัติเฉพาะด้านผลิต แต่ขาดทักษะผู้นำ เช่น การจูงใจ และ การแนะนำ/สอนงาน ผู้บริหารจึงควรสอบถามความคิดเห็นผู้ถูกคัดเลือกถึงแนวความคิดในเรื่องดังกล่าว และถามความสมัครใจใตการปรับเปลี่ยนตำแหน่งด้วย 4. มอบหมายโครงการให้บริหาร เมื่อการสัมภาษณ์/พูดคุยผ่าน หน่วยงานควรกำหนดโครงการเล็ก ๆ พร้อมอำนาจในการบริหารจัดการให้ทำในระยะสั้น ๆ ควรเป็นโครงการที่จำลองงานที่เขาจะต้องรับผิดชอบในอนาคต (รวมถึงการบริหาร งบประมาณด้วย) เปิดโอกาสให้เขาเข้าประชุมกับผู้บริหารระดับสูง เพื่อผู้บริหารจะได้สังเกตพฤติกรรมของเขาอย่างใกล้ชิด อาทิ ความมั่นใจ ความริเริ่ม เมื่อเขาได้รับมอบหมายงานให้ทำ จำเป็นต้องมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิดหรือไม่? รับผิดชอบต่อผลการตัดสินใจที่ตนเองเป็นผู้ทำหรือไม่? 5. ประเมินผลงานเมื่อเสร็จสิ้นโครงการตามเวลาที่กำหนด 6. สนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งใหม่ เมื่อแต่งตั้งใครขึ้นมาเป็นผู้บริหาร หน่วยงานจะต้องประกาศให้ทุกคนทราบอย่างเป็นทางการ รวมทั้งบอกผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งถึงความรับผิดชอบที่เขาต้องทำในตำแหน่งนั้น ๆ การประกาศอย่างเป็นทางการนี้จะช่วยลดความตึงเครียด หากผู้ได้รับการแต่งตั้งต้องดูแลพนักงานในแผนกที่เคยทำงาน และ 2-3 เดือนแรกหลังเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารควรประชุมเพื่อหารือถึงงานที่ผ่านมา มอบหมายงานที่ท้าทายขึ้น และ ให้คำแนะนำเพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ดำรงตำแหน่งใหม่ นอกจากนั้น ผู้บริหารยังสามารถเตรียมการโปรโมทพนักงานโดยการกระทำอย่างไม่เป็นระบบ ดังนี้ 1. หยุดแก้ไขปัญหาให้พนักงาน โดยการถามคำถาม “คุณคิดว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?” “ผลดี และ ผลเสียของวิธีการนี้เป็นอย่างไร?” คำถามนี้เป็นคำถามที่เป็นผลดีต่อการพัฒนาทักษะ และ การตัดสินใจของพนักงาน 2. ให้พนักงานตามผู้บริหารอย่างใกล้ชิดในทุกเรื่องที่ผู้บริหารพิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาพนักงาน พร้อมพูดคุยกับเขา/เธอหลังจากการสังเกตการณ์ รวมทั้งยกประเด็นในสิ่งที่เราทำ อาทิ การตัดสินใจ การพูดคุยสนทนา เพื่อให้พนักงานรู้ว่าทำไมเราทำแบบนั้นในสถานการณ์ นั้น ๆ อันจะทำให้พนักงานมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใหม่ที่สูงขึ้น 3. มอบหมายงานเพิ่มมากขึ้น ผู้บริหารพิจารณาถึงงานที่พนักงานที่จะได้รับการโปรโมต และหาวิธีเริ่มต้นให้พนักงานได้ประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ ทันที โดยให้ทำโครงการต่าง ๆ และมอบหมายความรับผิดชอบให้เพิ่มเติม กระตุ้นให้พวกเขาทำสุดความสามารถ โดยผู้บริหารจะเป็นเสมือนพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือ และคิดสิ่งท้าทายใหม่ ๆ 4. ประเมินผล และ บอกให้พนักงานทราบ การให้ข้อมูลสะท้อนกลับเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเตรียมการเพื่อโปรโมตพนักงาน ผู้บริหารสามารถทำได้โดยการพูดคุยในสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นจุดแข็งในการทำงานของเขา รวมทั้งจุดที่ควรปรับปรุง และโครงการที่พนักงานได้รับมอบหมาย ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง : 1. quickbase.com
29 พ.ค. 2020
จับตา 8 เทรนด์เทคโนโลยี เปลี่ยนยุคธุรกิจและอุตสาหกรรมใหม่
วิถีชีวิตของเทคโนโลยีเริ่มมีบทบาทต่อผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความก้าวหน้า รวดเร็ว และเที่ยงตรง ทำให้เทคโลยีที่มีหลากหลายเริ่มเป็นที่น่าจับตามมองที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมและธุรกิจในอนาคต วิถีชีวิตของเทคโนโลยีเริ่มมีบทบาทต่อผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความก้าวหน้า รวดเร็ว และเที่ยงตรง ทำให้เทคโลยีที่มีหลากหลายเริ่มเป็นที่น่าจับตามมองที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมและธุรกิจในอนาคต ผลการสำรวจผลจาก Tech Breakthroughs Megatrend ซึ่งทำการสำรวจรูปแบบเทคโนโลยีกว่า 150 แบบทั่วโลกจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เพื่อค้นหาเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทในการพลิกโลกเข้าสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคตอีก 3-7 ปีข้างหน้า อันดับ 1 ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI)Aiเรียกง่ายๆก็คือคอมพิวเตอร์ที่สามารถคิดและวิเคราะห์สิ่งต่างๆด้วยเหตุและผล จนสามารถตอบโต้การสนทนาได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนั้นยังสามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียนได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ถูกแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบเพราะการนำไปใช้งานของแต่ละองค์กรนั้นแตกต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่าการบริการที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นเพียงบางส่วนของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เท่านั้น แต่ในอนาคต ความก้าวหน้าและผลสำเร็จของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะช่วยให้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของโลกอินเทอร์เน็ตถูกนำมาใช้ประโยชน์มากกว่าในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้ทุกเรื่องจากการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งมนุษย์ไม่มีวันทำได้ แต่ถึงกระนั้นความกังวลใจเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์เองได้อย่างอิสระของปัญญาประดิษฐ์ก็ถูกมองว่าอาจจะเป็นภัยต่อมนุษย์ เพราะกรอบจริยธรรม ความคิด หรือแม้กระทั่งการตอบสนองจะต้องถูกควบคุมอย่างดี เพื่อให้ปลอดภัยกับมนุษย์มากที่สุด ก่อนที่จะเริ่มการปฏิวัติวงการด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นั่นเอง อันดับ 2 โลกกึ่งเสมือนจริง (Augmented Reality หรือ AR)AR เทคโนโลยีโลกกึ่งเสมือนจริง ด้วยรูปแบบการผสมผสานเทคโนโลยีการมองเห็นกับโลกของความเป็นจริงมาเป็นหนึ่งเดียว ด้วยการซ้อนเทคโนโลยีเข้ากับการมองของมนุษย์ปกติ ทำให้เกิดมุมมองใหม่ของการเรียกใช้เทคโนโลยีและจัดการระบบได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยปัจจุบันแม้ว่าจะยังเป็นแค่การทำงานอย่างง่าย ๆ เช่น การออกกำลังกายในลู่วิ่ง เมื่อสวมแว่น VR เข้าไปจะทำให้การวิ่งนั้นมองเห็นวิวทิวทัศน์ในสถานที่ที่เราต้องการได้อย่างเป็นธรรมชาติ หรือจะเป็นการสวมใส่ VR ในการจัดของเพื่อตรวจนับสต๊อกสินค้าไปในตัว เป็นต้น ซึ่งอีกไม่นานเราจะเห็นการนำ AR ไปใช้ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งด้านความบันเทิงและกิจกรรมต่าง ๆ อย่างแพร่หลายในอนาคต อันดับ 3 บล็อกเชน (Blockchain)บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีการร้อยต่อข้อมูลเข้าไว้ด้วยกันทั้งหมด โดยข้อมูลทุกบล็อกจะเป็นเหมือนสำเนาของตัวเอง เมื่อเกิดการแก้ไขจะทำให้ทุกบล็อกรับรู้การแก้ไขนั้น ๆ และมีประวัติเก็บไว้อย่างซับซ้อน โดยเนื้อแท้ของเทคโนโลยีจึงมีความปลอดภัยจากโครงสร้างที่เกิดขึ้น ซึ่งความสามารถของบล็อกเชนเริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อถูกนำมาใช้งานในรูปของ Bitcoin หรือเงินเสมือนจริงที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ด้วยรูปแบบการบันทึกทุกกล่องเป็นสำเนาข้อมูลเหมือนกันหมด ทำให้บล็อกเชนมีความปลอดภัยมากกว่าการบันทึกด้วยมนุษย์หรือเครื่องมือบันทึกใด ๆ ที่มีอยู่เดิม และนั่นก็ทำให้บล็อกเชนได้รับความสนใจกับกลุ่มธุรกิจการเงินเช่นธนาคารเป็นอย่างมาก โดยเชื่อว่าบล็อกเชนจะเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่มีความปลอดภัยและรวดเร็วมากกว่าเทคโนโลยีการเงินที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน อันดับ 4 โดรน (Drones)โดรนเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีการบินที่ได้รับการพัฒนาให้มีขีดความสามารถของการบินหลายระยะด้วยระบบอัตโนมัติ ทำให้โดรนเข้ามาแทนที่ในการบินหลากหลายระบบทั้งเล็กและใหญ่ เช่น จากเดิมที่ใช้เครื่องบินใส่ปุ๋ยและยาพืชไร่ ก็สามารถเปลี่ยนเป็นเครื่องโดรนที่บรรทุกปุ๋ยและยาบินเข้าพื้นที่แบบอัตโนมัติตามการวางโปรแกรมการบินเพื่อจัดการพื้นที่ได้อย่างไม่หลงลืม ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้โดรนในหลายรูปแบบ ทั้งทางการทหาร การช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมทั้งการขนส่ง ทำให้โดรนกลายเป็นเครื่องมือขนส่งที่ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางอากาศระยะไกลได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขนส่งคนหรือสิ่งของก็ตาม แนวคิดดังกล่าวยังไม่สามารถเกิดขึ้นจริงในเชิงพาณิชย์ แต่กระนั้นก็เริ่มมีการทดลองอย่างจริงจังในหลายประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มอีคอมเมิร์ซที่กลายมาเป็นระบบค้าขายที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน อันดับ 5 อินเทอร์เน็ตเพื่อทุกสิ่ง (Internet of Things หรือ IoT)เทคโนโลยี IoT เป็นสิ่งที่หลายคนพูดถึงกันมากที่สุด เพราะสามารถแทรกตัวเข้าไปได้แทบทุกอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีของการสื่อสารอุปกรณ์เท่านั้น โดยคาดหวังกันว่า IoT จะช่วยลดเวลาการจัดการทั้งหมดของมนุษย์ รวมไปถึงการดูแลความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้มีความปลอดภัย สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ IoT ยังเป็นอุปกรณ์ที่จะเก็บข้อมูล รายงานสิ่งที่จำเป็นให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการตรวจสอบในระบบสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับได้ว่าการแทรกตัวเข้าไปของทุกอุตสาหกรรมยังมีต้นทุนที่ราคาไม่แพงเกินไป ด้วยอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ฝังเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อช่วยในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ แต่หัวใจของการประมวลผลและคิดวิเคราะห์ยังคงใช้งานจากส่วนกลางเพื่อสนองตอบพฤติกรรมนั่นเอง อันดับ 6 หุ่นยนต์ (Robots)หุ่นยนต์เป็นเป้าหมายใหม่ของการทดแทนแรงงานในอนาคต เนื่องจากงานบางชนิดเป็นการใช้แรงงานที่ต้องทำงานซ้ำ ๆ จนเกิดภาวะขาดแคลนแรงงาน ด้วยค่าแรงที่ต่ำหรือปัญหาของพื้นที่ก็ตามแต่ ซึ่งในโลกอุตสาหกรรมหุ่นยนต์แขนกลที่ทำหน้าที่แทนหนุ่มสาวโรงงาน ทั้งการยกของจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งหรือทำงานซ้ำ ๆ แบบเดิมตามไลน์การผลิต มักใช้หุ่นยนต์แขนกลที่มีเพียงจังหวะหมุนของการผลิตเท่านั้น และนอกจากอุตสาหกรรมการผลิตแล้ว หุ่นยนต์ยังสามารถเข้าไปแทนที่การทำงานในแง่มุมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ่นยนต์ดับเพลิง กู้ภัย หรือแม้กระทั่งหุ่นยนต์ให้บริการ ทำให้ในอนาคต หุ่นยนต์จะถูกนำมาใช้เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์มากขึ้น อันดับที่ 7 โลกเสมือนจริง (Virtual Reality หรือ VR)VR เป็นเทคโนโลยีที่อาจจะดูใกล้เคียงกับ AR หากมองแบบผิวเผิน แต่จริง ๆ แล้วมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะวิธีการใช้หรือรูปแบบที่นำไปใช้ก็ตาม นั่นเพราะ VR เป็นสิ่งที่อยู่ในโลกเสมือนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ร่างกายเพียงตอบสนองกับสิ่งที่เห็นเพื่อฝึกฝนหรือเพื่อความบันเทิง โดยที่ไม่มีการซ้อนกันของโลกความเป็นจริงแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น การทำเครื่อง VR เพื่อฝึกบินเครื่องบินตามรุ่นต่าง ๆ ช่วยลดต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการฝึกบินบางส่วน หรืออีกตัวอย่างเป็นการฝึกผ่าตัดของแพทย์เพื่อความเชี่ยวชาญ แน่นอนว่าเครื่องเหล่านี้สร้างระบบครอบการรับรู้ของมนุษย์ทั้งหมดไว้เพื่อสร้างโลกเสมือนที่อาจจะใกล้เคียงหรือไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เป็นอยู่ก็เป็นได้ อันดับที่ 8 ระบบพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing)เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ อาจจะฟังดูเป็นเครื่องพรินเตอร์ที่วุ่นวายกับเรื่องหมึกไปสักหน่อย แต่แท้จริงแล้วเครื่องนี้กลับเป็นอะไรที่แตกต่างออกไป เนื่องจากฟีเจอร์การทำงานเป็นเหมือนการแกะสลักด้วยแบบดิจิทัลที่สั่งงานโดยคอมพิวเตอร์ ค่อย ๆ แกะเนื้อวัสดุออกตามที่ต้องการไปทีละขั้นทีละตอน เหมือนการขึ้นรูปวัสดุ และนั่นก็ทำให้เครื่องพิมพ์ 3 มิติเป็นที่หมายปองของนักออกแบบ เพราะเพียงเวลาไม่นาน แบบที่ร่างไว้ในคอมพิวเตอร์ก็จะถูกพรินต์ออกมาเป็นโมเดล 3 มิติที่จับต้องได้ทุกประการ ด้วยจุดเด่นของการทำงานที่ไม่จำกัดจำนวน และรวดเร็วเช่นที่พรินเตอร์จะพิมพ์ออกมาได้ ทำให้เครื่องพิมพ์เช่นนี้หลุดเข้าไปในหลากหลายอุตสาหกรรม แน่นอนว่าในวงการแพทย์ที่มีการออกแบบอวัยวะเทียมเพื่อทดแทนอวัยวะสำคัญที่ขาดหายไป การออกแบบด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติแล้วฉีดเซลล์เข้าไปเพื่อลดอาการต่อต้านก็จะสามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีทั้ง 8 นี้ต่างมีบทบาทของการพัฒนาและคุณประโยชน์ที่สามารถพลิกการใช้งานเครื่องมือในปัจจุบันของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่จะต่อยอดในอนาคตจะมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไป และท้ายที่สุด คนธรรมดาก็สามารถเอื้อมถึงได้นั่นเอง
29 พ.ค. 2020
ระบบการจัดการข้อมูลผลการวัดเพื่อประสิทธิภาพการควบคุมคุณภาพที่ดีกว่า
ระบบการตรวจวัดความแม่นยำสูงมีความสำคัญมากขึ้นในอุตสาหกรรมการผลิตแบบลีน (Lean manufacturing) เพราะแสดงให้เห็นถึงคุณภาพการผลิตชิ้นงานแต่ละชิ้น ซึ่งในช่วงระยะหลัง การตรวจวัดแบบ 100% ร่วมกับระบบการผลิตแบบออโตเมชั่นพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน เนื่องจากนวัตกรรมการผลิตอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีรายละเอียดและมีความซับซ้อนในการผลิตสูง จำเป็นต้องมีการบันทึกผลการวัดและตรวจสอบตามช่วงเวลาเพื่อนำมาวิเคราะห์ความสามารถของกระบวนการผลิตและเป็นข้อมูลในการรับประกันคุณภาพสินค้าเมื่อส่งมอบ การออกแบบระบบการจัดการข้อมูลประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ นั่นคือ 1. การเชื่อมต่อระบบ เครื่องจักรกล เครื่องมือและอุปกรณ์ จะสามารถประสานการทำงานวัดโดยสามารถส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบประมวลผลกลางได้ทันที ทำให้ข้อมูลการผลิตได้ครบถ้วน 100% ระบบเชื่อมต่อสัญญาณโดยตรงเข้ากับอุปกรณ์ประมวลผลหรือคอมพิวเตอร์ มีให้เลือกแบบ SPCหรือแบบไร้สายที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Wireless) ทำให้ผู้ควบคุมสามารถตรวจสอบข้อมูลได้แบบ Real Time 2. การจัดเก็บข้อมูล ข้อมูลที่ได้จากการวัดและการตรวจสอบมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากถ้าข้อมูลเหล่านี้ผิดพลาด สูญหาย หรือจัดเรียงไม่เป็นระบบ อาจส่งผลกระทบต่อการควบคุมคุณภาพการผลิตในช่วงเวลานั้นๆ ได้ ด้วยระบบData Management จะทำให้สามารถกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อเก็บสำรองในฐานข้อมูล การทำงานทั้งหมดจะได้รับการบันทึกอย่างเป็นขั้นตอนในกระบวนการผลิต และข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในการวางแผนการผลิตและควบคุมคุณภาพให้เป็นที่น่าเชื่อถือต่อไป 3. การวิเคราะห์ผลสถิติข้อมูลการผลิต หรือการจำลองระบบการควบคุมกระบวนการเชิงสถิติ (Statistical Process Control หรือ SPC) เพื่อกำหนดวิธีการตรวจสอบคุณภาพในการผลิตให้ได้รับความเชื่อถือ ลดปัญหาความผิดพลาดในการตรวจสอบคุณภาพ และวางแผนการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการผลิตชิ้นงานแต่ละประเภท ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมที่สุดในการทำงาน ซึ่งจะช่วยในการปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตที่ดีกว่า มิตูโตโย หนึ่งในผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องมือวัดละเอียดอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก จึงได้ออกแบบระบบการจัดการข้อมูลผลการวัด สามารถตอบสนองการทำงานได้หลายรูปแบบ อุปกรณ์เชื่อมโดยตรงเข้ากับคอมพิวเตอร์ด้วยสายสัญญาณ SPC, การเชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์ไร้สาย U-Wave (Wireless) และโปรแกรมการจัดการผลการวัดและการวิเคราะห์ผลการตรวจวัดได้อย่างแม่นยำและสะดวกรวดเร็ว โดยการแสดงผลผ่านโปรแกรม Microsoft Excel นอกจากนี้ยังพัฒนา Data Management System ด้วยโปรแกรม MeasurLink ที่จะสามารถบริหารจัดการข้อมูลทั้งระบบได้อย่างครบวงจรและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด Reference : Blue Update Edition 20
29 พ.ค. 2020
Transformation with Industrial Internet of Things
แนวคิดของอุตสาหกรรม 4.0 มีอิทธิพลในการสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านนวัตกรรมเพื่อเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเป็นการบูรณาการการผลิตเข้ากับการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในรูปแบบ “The Internet of Things (IoT)” ทำให้กระบวนการผลิตตลอดทั้งซัพพลายเชนเชื่อมต่อกันบนโลกดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น What is the Industrial Internet of Things? Industrial Internet of Things หรือ IIoT คือ การนำเครื่องจักร ระบบการวิเคราะห์ขั้นสูง และคนมาทำงานร่วมกันผ่านโครงข่ายของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันด้วยเทคโนโลยีการสื่อสาร ส่งผลให้เกิดระบบที่สามารถติดตาม เก็บข้อมูล แลกเปลี่ยนและแสดงผลข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ข้อมูลดังกล่าวสามารถช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างชาญฉลาดและรวดเร็วยิ่งขึ้น What are the Benefits of IIoT? IIoT ช่วยปรับปรุงการเชื่อมต่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ยืดหยุ่น ประหยัดเวลา และประหยัดค่าใช้จ่ายในการวางแผนการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม บริษัทที่มีความพร้อม เริ่มได้รับประโยชน์จาก IIoT ในการลดต้นทุนการผลิตจากการบำรุงรักษาที่คาดการณ์ล่วงหน้า (Predictive maintenance) การตรวจสถานะของเครื่องจักร (Monitor) และหลีกเลี่ยงการ Downtime ของระบบเพิ่มความปลอดภัยและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานในส่วนอื่นได้ดียิ่งขึ้น ระบบเครือข่าย IIoT สามารถเชื่อมต่อข้อมูลขนาดใหญ่ของแต่ละหน่วยงาน ตั้งแต่ไลน์การผลิต ไปจนถึงระดับออฟฟิศและทุกคนในองค์กรอย่างเป็นระบบ เพื่อที่จะทำให้ผู้บริหารสามารถใช้ข้อมูลจาก IIoT ได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญนำไปสู่การตัดสินใจในอนาคต การขยายตัวของ IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรมและโรงงานการผลิต (Industrial Internet of Thing – IIoT) ทั่วโลกมีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลจากการศึกษาวิจัยข้อมูลทางการตลาดโดย Market and Market พบว่าในปี 2015 ตลาด IIoT มีมูลค่าตลาดโดยรวมสูงถึง 113 พันล้าน เหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2022 จะมีมูลค่ากว่า 195 พันล้านเหรียญสหรัฐ อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 7.9% การเติบโตของ IIoT มีผลมาจากหลักการโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) และเทคโนโลยีการผลิตแบบออโตเมชั่นโดยการริเริ่มของภาครัฐ ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรม 4.0 ของประเทศเยอรมันและฝรั่งเศสที่มีการส่งเสริมการใช้โซลูชั่น IIoT ในยุโรป เช่นเดียวกันกับประเทศผู้นำอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ประเทศจีนยังถือครองตลาดทางด้าน IIoT ที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มเอเชียแปซิฟิค ในทิศทางเดียวกันตลาดในอินเดียคาดว่าน่าจะมีการเติบโตสูงขึ้น ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลต่อการขยายตลาด IIoT ได้แก่ ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิคส์ และวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีคลาวน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว Key Components of IIoTการนำระบบ Internet of Thing (IoT) มาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตนั้นจำเป็นจะต้องพัฒนาองค์ประกอบหลายประการ อาทิ การปรับปรุงเครื่องจักรกลและอุปกรณ์แบบเดิมให้รองรับเทคโนโลยี IIoT การเพิ่มอุปกรณ์ตรวจวัดและการเชื่อมต่อระบบการทำงานเข้าด้วยกัน รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การควบคุมและจัดการข้อมูลที่ได้รับทั้งโครงข่ายข้อมูล การใช้สมาร์ทเซนเซอร์ในการเชื่อมต่อสื่อสารถึงกันระหว่างเครื่องจักรกล (Machine-to-Machine M2M Communication) ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เครื่องจักรกลสามารถประเมินสถานะการทำงานที่ดีที่สุดและจดจำข้อมูล ตลอดจนการลำดับขั้นตอนการผลิตได้ด้วยตัวเองและการรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่ที่ได้รับ (Big Data) ด้วยระบบการประมวลผลการผลิตแบบเรียลไทม์ (Manufacturing Execution Systems – MES) เข้ามาควบคุมติดตามและบันทึกผลการผลิตผ่านอุปกรณ์ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันแพลตฟอร์มการทำงานของระบบ IIoT ประกอบด้วย 3 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ Sensors และ Sensor-Driven Computing คือด่านแรกในการเก็บข้อมูลที่ได้จากการผลิตและส่งไปยังส่วนของ Processor ซึ่งตัวเซนเซอร์ทำให้อุปกรณ์สามารถรับรู้สภาวะต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิ ความดัน แรงดันไฟฟ้า การเคลื่อนไหว และด้านเคมี Sensor-Driven Computing จะแปลงการรับรู้นี้เป็นข้อมูลเชิงลึก (Insights) โดยใช้ Industrial Analytics ในลำดับถัดไปที่ผู้ปฏิบัติงานและระบบสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อได้ Processor หรือ Industrial Analytics เป็นตัวประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจากเซนเซอร์ ให้อยู่ในรูปที่สามารถนำไปใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อเก็บข้อมูลหลาย ๆ ส่วนของเครื่องจักรในคราวเดียวกัน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ส่งคำสั่งไปยังเซนเซอร์ เป็นเสมือนเครือข่ายในการเชื่อมโยงข้อมูลทุกจุดให้สามารถทำงานได้ทันที (Real time) Intelligent Machine Application ในอนาคตอันใกล้ผู้ผลิตเครื่องจักรจะไม่ผลิตเพียงแค่เครื่องจักรที่มีเฉพาะระบบกลไกเท่านั้น แต่จะรวมฟังก์ชั่นที่มีสมอง (Intelligence) อีกด้วย เพื่อควบคุมการผลิตอัตโนมัติผ่านซอฟท์แวร์ ซึ่งปกติผู้วางระบบจะทำบนระบบคลาวด์ทั้งหมดเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุม แก้ไข จัดการตรวจสอบการทำงานผ่านแอปพลิเคชั่นที่ได้รับการพัฒนาขึ้น และสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ประมวลผลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อไป แอปพลิเคชันที่มาพร้อมกับเครื่องจะเป็นเครื่องมือสำหรับสร้างรายได้ใหม่ในรูปแบบผสมระหว่างผลิตภัณฑ์และบริการและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้ง่ายต่อการผสานรวมอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกัน Future and Challengesอย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบ Industrial IoT ซึ่งต้องอาศัยการเชื่อมต่ออุปกรณ์และเครื่องจักรต่างๆ ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวอาจทำได้ยากและต้องใช้เวลา เนื่องจากในเครื่องจักรแต่ละเครื่องมีรูปแบบและระบบโครงสร้างที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงถือเป็นความท้าทายของผู้พัฒนาระบบการเชื่อมต่อทั้งหมดให้สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และคำนึงถึงการเก็บรักษาความปลอดภัยของข้อมูล IIoT กำลังกลายเป็นกระแสการพัฒนาที่สำคัญส่งผลต่อความสำเร็จในธุรกิจอุตสาหกรรมทั้งในปัจจุบันและอนาคต ภาคธุรกิจต่างพยายามผลักดันการพัฒนาระบบและอุปกรณ์ที่ทันสมัยเพื่อตอบสนองให้ทันต่อความต้องการตลาดที่รวดเร็วผันผวนและเผชิญกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน (Disruptive Technology) อุตสาหกรรมที่นำ IIoT มาใช้งานสามารถปรับปรุงและพัฒนากระบวนการผลิต ความปลอดภัยเพิ่มประสิทธิภาพ และให้ผลกำไรที่ดีกว่าในระยะยาว Reference : Blue Update Edition 20
29 พ.ค. 2020
อุตสาหกรรมในอนาคตจะมีลักษณะอย่างไร?
อุตสาหกรรมมีการเตรียมพร้อมสำหรับการปฏิวัติ การมาถึงของเทคโนโลยีดิจิทัลได้นำไปสู่การทบทวนระบบการผลิตทั้งหมดและแม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมา ทุกอย่างจะค่อยๆเปลื่ยนไปในหลายๆด้าน วันนี้เรามาดูกันว่าจะมีอะไรเปลื่ยนไปบ้าง 1. เทคโนโลยีดิจิตอลและการเชื่อมต่อ ในอนาคตอุตสาหกรรมทั้งหมดจะเชื่อมต่อกันภายในโรงงานเดียวกันและระหว่างโรงงาน เครื่องมือต่างจะสามารถแลกเปลื่ยนข้อมูลกัน ในแบบเรียลไทม์ซึ่งจะได้รับการวิเคราะห์เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้งานที่เหมาะสม "โรงงานแห่งอนาคตจะได้รับการจัดโครงสร้างแบบเครือข่ายใหม่ มันจะกลายเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เชื่อมต่อกันอย่างแท้จริง เพื่อที่เราจะสามารถเช็คปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนั้นและการสร้าผลลัพท์ที่ดีที่สุด 2. หุ่นยนต์ร่วมกับมนุษย์ หุ่นยนต์ชนิดใหม่กำลังถูกผลิตออกมา พวกเขารู้จักกันในชื่อ "โคบอทส์" หรือ "หุ่นยนต์ทำงานร่วมกัน" ปัจจุบันหุ่นยนต์ที่ใช้ในโรงงานได้รับการออกแบบมาให้ทำงานคนเดียว Cobots เป็นหุ่นยนต์อัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเสริมความสามารถของมนุษย์แบบที่เราเห็นกันในหนังที่มีฉากโรงงานต่างๆ ซึ่งในบางกรณีที่เราเห็นกับบ่อยๆคือมันช่วยยกของหรือช่วยวิเคราะห์กำไรและจัดการกับต้นทุนที่สูงแทนเราได้ 3. โลกเสมือนจริง การสร้างแบบจำลอง 3 มิติ จะช่วยออกแบบและจำลองผลิตภัณฑ์ได้สมจริงขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่ามันตรงกับความคิดที่เราคิดไว้ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการตลาด ทำให้เกิดความแปลกใหม่และทำให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจในการซื้อได้ง่ายขึ้น และทั้ง 3 ลักษณะนี้คือแนวโน้นของอุตสาหกรรมในอนาคตซึ่งทำให้เราทำงานได้ขึ้นและสามารถตอบสนองความตอบการทางด้านการตลาดได้ดีขึ้นอีกด้วย ถ้าคุณเป็นคนนึงที่อยู่อุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง คุณจำเป็นต้องเข้าถึงเทคโนโลยีด้วยเพราะพวกมันจะช่วยจัดการให้คุณสามารถต้นทุนต่างๆได้และทำให้คุณมีกำไรมากขึ้นอีกด้วย แหล่งที่มา
29 พ.ค. 2020
ธุรกิจดิจิตอลเป็นธุรกิจของทุกคน
ภายในปี 2020 จะมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมากกว่า 7 พันล้านคนและธุรกิจและอุปกรณ์อย่างน้อย 30 พันล้านชิ้น กับผู้คนธุรกิจและสิ่งที่สื่อสารทำธุรกรรมและแม้กระทั่งการเจรจาต่อรองกับแต่ละอื่น ๆ ในโลกใหม่ที่เข้ามาในความเป็นอยู่ โลกของดิจิตอลธุรกิจ ธุรกิจดิจิทัลคือการสร้างการออกแบบธุรกิจใหม่ ๆ โดยการทำให้โลกดิจิตอลและโลกทางกายภาพเบลอ สัญญานี้จะนำพาผู้คนธุรกิจและสิ่งต่างๆที่ขัดขวางโมเดลทางธุรกิจที่มีอยู่ซึ่งรวมถึงผู้ที่เกิดจากอินเทอร์เน็ตและยุคธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สิ่งที่ทำให้ธุรกิจดิจิทัลแตกต่างจากธุรกิจอีเล็คทรอนิคส์คือการมีส่วนร่วมของสิ่งต่างๆเชื่อมต่อและชาญฉลาดกับผู้คนและธุรกิจ นี่อาจเป็นการนำหน่วยข่าวกรองและเซ็นเซอร์ต่างๆมาใช้ในเครื่องยนต์เครื่องบินเจ็ทเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการโดยสารของเจ็ตและเพื่อลดความจำเป็นในการบำรุงรักษาเครื่องบิน ในธุรกิจค้าปลีกธุรกิจดิจิทัลอาจเกี่ยวข้องกับการให้บริการลูกค้าแฟชั่นรายย่อยในโลกที่มีการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างรูปแบบดิจิทัลและทางกายภาพที่ผสมผสานขอบเขตระหว่างทั้งสอง ตัวอย่างเช่นลูกค้าจะเข้าสู่ร้านเครื่องแต่งกายขายปลีกลองทำเสื้อโค้ทและระบบจัดเก็บจะรู้เรื่องนี้ได้ จากนั้นพวกเขาจะฉายภาพของผู้ซื้อบนหน้าจอด้วยเสื้อคลุมและเสนออุปกรณ์เสริมหรือทางเลือกบางอย่างที่เหมาะกับเสื้อผ้าใหม่ตลอดเวลาโดยคำนึงถึงข้อ จำกัด ด้านราคาที่วางไว้โดยลูกค้าในกระบวนการคุยกัน การซื้อสินค้า อีกตัวอย่างหนึ่งคือความสามารถในการประเมินความเสี่ยงของพอร์ตสินเชื่อใหม่สำหรับธนาคารที่มีการรายงานข้อมูลเรียลไทม์โดยตรงจากสินทรัพย์ทางการเงินที่มีการจัดหาเงินทุน กรณีเช่นนี้อาจเกิดขึ้นตัวอย่างเช่นในระหว่างการชนกันของรถ ระบบในรถยนต์จะไม่เพียง แต่ช่วยให้ผู้ให้การตอบแบบสอบถามทราบถึงความผิดพลาดและสภาพของผู้โดยสารและรถยนต์แล้วพวกเขาก็จะแจ้งให้ธนาคารทราบเพื่อประเมินผลงานความเสี่ยงในเวลาจริง สมมติว่าเจ้าของไม่อยู่ในสภาพที่จะชำระเงินได้หากพวกเขาไม่ได้ทำงานโดยตรงซึ่งจะบอกว่าธนาคารจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการผิดนัดเงินกู้ บางคนอาจสับสนกับอินเทอร์เน็ตของสิ่งต่างๆที่มีธุรกิจดิจิทัล อินเทอร์เน็ตของสิ่งต่างๆมีบทบาทสำคัญในธุรกิจดิจิทัล แต่ก็มีมากกว่านี้ Internet of Things as, Gartner กำหนดให้เป็นเครือข่ายของวัตถุทางกายภาพที่มีเทคโนโลยีฝังตัวเพื่อสื่อสารและโต้ตอบกับสถานะภายในหรือสภาพแวดล้อมภายนอก ธุรกิจดิจิตอลเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างการออกแบบธุรกิจใหม่ ๆ โดยการทำให้โลกดิจิตอลและโลกทางกายภาพเบลอ เกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์และการเจรจาระหว่างธุรกิจและสิ่งต่างๆ เมื่อมีสิ่งต่างๆเริ่มเจรจากันเองรวมถึงผู้คนและธุรกิจที่เราเริ่มเห็นว่าเราเข้าสู่โลกใหม่และก่อกวนอย่างไร ในอดีตคนเป็นตัวแทนของสิ่งต่างๆในธุรกิจ ในอนาคตสิ่งที่จะเป็นตัวแทนของตัวเองและจะเปลี่ยนวิธีการที่ธุรกิจมองเห็นโอกาสของมัน ความจริงแล้วธุรกิจดิจิทัลจะขัดขวางทุกอุตสาหกรรมและผู้บริหารธุรกิจ CIO และผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีจะต้องคิดอย่างแตกต่างเพื่อช่วยให้ธุรกิจของตนหลีกเลี่ยงการหยุดชะงัก นี่คือโลกใหม่ที่ทำให้คนรุ่นก่อนล้าสมัยในขณะที่สร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่สามารถมองเห็นโอกาสนี้ได้ ผู้บริหารธุรกิจที่เข้าใจเศรษฐกิจอุตสาหกรรมดิจิทัลในปี 2020 จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้องค์กรของพวกเขาชนะในยุคใหม่นี้ ผู้นำทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีทักษะทางธุรกิจแบบดิจิตอล บทบาทใหม่ ๆ เช่นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ดิจิตอลจะกลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาบทบาทผู้นำธุรกิจและซีไอโอทั้งหมดจะต้องพัฒนาความเป็นผู้นำและความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อกำหนดและดำเนินกลยุทธ์ดิจิทัล ในปี 2020 ทักษะด้านความเป็นผู้นำแบบดิจิตอลจะถูกสันนิษฐานสำหรับผู้นำธุรกิจทั้งหมดและเทียบเท่ากับทักษะการบริหารอื่น ๆ เช่นการเงิน ผู้นำธุรกิจที่ไม่ตอบสนองต่อความท้าทายของธุรกิจดิจิตอลจะพบว่าอาชีพของตัวเองเดินลอด ซีไอโอที่ไม่ตอบสนองต่อความท้าทายในการเป็นผู้นำอาจจบลงในฐานะผู้ดูแลระบบโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีด้านหลังเท่านั้น ในปี 2020 องค์กรธุรกิจดิจิตอลแห่งยุคใหม่จะประสานงานด้านสถาปัตยกรรมธุรกิจดิจิทัลที่สำคัญทางธุรกิจและด้านหลังไอที สัญญาของธุรกิจดิจิทัลคือความเป็นหนึ่งของแอพพลิเคชันและสินทรัพย์แบบดิจิทัลที่ทำงานร่วมกันเกือบจะช่วยให้สามารถพัฒนาขีดความสามารถใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ความจริงจะเป็นที่หลายพันล้านสิ่งทั้งปวงมนุษย์และธุรกิจที่เชื่อมต่อกันจะต้องมีวิศวกรรมที่ซับซ้อนการรวมและการประสานเพื่อให้บรรลุตามคำมั่นสัญญาในอนาคตของผู้คนธุรกิจและสิ่งต่างๆ เทคโนโลยีดิจิทัลผลักดันการปรับปรุงในกระบวนการทางธุรกิจแบบดั้งเดิมและระดับโมเดลทางธุรกิจ อย่างไรก็ตามการต่อสู้ที่แตกต่างจะเป็น "ช่วงเวลาทางธุรกิจ" - ระดับการสร้างนวัตกรรมดิจิทัลระดับที่สามที่สร้างขึ้นโดยต้องแข่งขันด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นและความคล่องตัว เทคโนโลยีเช่น Internet of Things และการพิมพ์ 3D จะช่วยให้กระบวนการทางธุรกิจดิจิตอลรูปแบบและช่วงเวลาใหม่ ตัวอย่างเช่นส่วนที่สำคัญที่ส่งมาจากแคนาดาอาจพบว่าตัวเองหยุดอยู่ที่ชายแดนเนื่องจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรตัดสินใจที่จะตรวจสอบสายการผลิตรถบรรทุกที่มีสินค้าของสหรัฐฯเพิ่มเติม ส่วนที่สำคัญจะรู้ว่ามันไม่ได้เคลื่อนไหวเพราะจะมีจีพีเอสและสติปัญญาบางอย่างที่ต้องรู้ว่ามันต้องอยู่ในจุดหมายปลายทางในเวลาที่สั้นกว่าที่เหลือไว้ด้วยความล่าช้า ส่วนนั้นจะสื่อสารผ่านทางอินเทอร์เน็ตเพื่อหาส่วนอื่น ๆ เช่นตัวเองที่สามารถเปลี่ยนเส้นทางและเปลี่ยนเส้นทางที่ล่าช้าได้ ในขณะเดียวกันจะมีการจัดเตรียมการเปลี่ยนเส้นทางไปยังส่วนที่ล่าช้าไปยังลูกค้าที่ไม่มีเวลาที่ต้องการ องค์กรที่เก่งในระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรมดิจิทัลจะเป็นองค์กรที่มีความสามารถทางเทคโนโลยีและมีความซับซ้อนมากขึ้น เรื่องราวดิจิตอลของพวกเขาจะเขียนด้วยเทคโนโลยี แหล่งที่มา
29 พ.ค. 2020
สร้างความเชื่อมั่นในโลกดิจิทัล โดย Mark McDonald
บริษัทที่จัดตั้งขึ้นซึ่งต้องการมีความสัมพันธ์กับลูกค้าเข้าใจถึงความสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นและสร้างความมั่นใจว่าช่องดิจิตอลและการลงทุนที่พวกเขาทำจริงๆทำให้พวกเขาสามารถทำได้ ดิจิตอลเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำธุรกรรมของลูกค้าที่ตรงไปตรงมาเช่นการสั่งซื้อการแชร์และการมีปฏิสัมพันธ์ แต่มีประเภทอื่น ๆ ของ "ความต้องการของลูกค้า" ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจที่ซับซ้อนมากขึ้นและการดำเนินการที่อาจแตกต่างกันออกไปและช่องดังกล่าวอาจไม่เหมาะกับลูกค้ามากที่สุดหรือให้ความสำคัญกับลูกค้าในลักษณะที่พวกเขาต้องการ สถานการณ์เหล่านี้มีมากขึ้น "ความเชื่อมั่น" และต้องการการปฏิสัมพันธ์แบบดิจิตอลที่แตกต่างกันเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่ลูกค้าต้องการและต้องการ อุตสาหกรรม การประกันภัยธนาคารและการดูแลสุขภาพตระหนักดีถึงความจำเป็นในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในทางตรงกันข้ามกับการทำธุรกรรมซ้ำ ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อได้ง่ายขึ้นมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยเมื่อความมั่นใจในการซื้อเป็นสิ่งสำคัญ ผู้นำในอุตสาหกรรมเหล่านี้มักชี้ให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ของตนเป็นผู้ "ขายมากกว่าซื้อ" คู่แข่งที่สำคัญในอุตสาหกรรมความเชื่อมั่นไม่ได้เป็นอีกบริษัทหนึ่ง แต่คือการไม่ปฏิบัติตนของลูกค้า แม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะโตแล้ว แต่โซลูชันดิจิทัลยังไม่สมบูรณ์ในอุตสาหกรรมเหล่านี้ ตัวอย่างเช่นดูที่App บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ด้านการประกันสุขภาพเว็บไซต์แผนบริการด้านสุขภาพหรือพอร์ทัลสำหรับการเกษียณอายุและคุณจะเห็นคำอุปมาที่เกี่ยวกับการทำธุรกรรมมากกว่าการใช้ความเชื่อมั่น ที่เข้าใจได้การกระทำมีความซับซ้อนและมีความล่าช้ามากระหว่างการซื้อและมูลค่า "เงินลงทุนในวันนี้สำหรับทศวรรษที่เกษียณอายุในอนาคต" เป็นตัวอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับ "การนำแนวทางปฏิบัติที่ดีและมีระเบียบวินัยในขณะนี้มาใช้ในอนาคต" การป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงในวันนี้เมื่อหนึ่งอาจไม่เคยตระหนักถึงการเรียกร้องเป็นขายยากเนื่องจากไม่มีตัวตนของ บางครั้งการทำอะไรจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความซับซ้อนได้ Trust + Confidence = การดำเนิน การธุรกิจที่ใช้ความเชื่อมั่นจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีในรูปแบบอื่น ช่องทางดิจิทัลไม่เกี่ยวกับการทำธุรกรรมที่ดีขึ้นหรือเร็วขึ้น เกี่ยวกับการสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในแบบที่นำไปสู่การปฏิบัติ พิจารณาสามเทคนิคในการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ ความเรียบง่าย : ผู้บริโภคกำลังพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนโดยมีผลตอบแทนที่ไม่แน่นอนและการรับรู้การลงทุนล่วงหน้ามาก ลดความซับซ้อนของข้อเสนอมูลค่าเพิ่มความเข้าใจและความเชื่อมั่น การทำงานอัตโนมัติ : ระบบอัตโนมัติจะสร้างความมั่นใจเมื่อลบขั้นตอนโดยพลการในกระบวนการ เมื่อผลลัพธ์คาดการณ์ได้ผู้บริโภครู้ว่าสิ่งที่พวกเขามีอยู่ในปัจจุบันนี้สามารถคาดหวังได้ในอนาคต การรู้ข้อมูลส่วนบุคคลแบบ Peer-based : การรู้ว่าฉันยืนอยู่ที่ไหนเมื่อเทียบกับเพื่อนและรู้ว่าคนอื่นทำในสถานการณ์เดียวกันสร้างความมั่นใจว่าฉันไม่ใช่คนเดียว การกำหนดค่าส่วนบุคคลแบบ Peer-based ไม่จำเป็นต้องละเมิดนโยบายความเป็นส่วนตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณมีความโปร่งใสเกี่ยวกับการสร้างข้อมูลการเปรียบเทียบแบบ peerความเชื่อมั่นในโลก ดิจิทัลประสบการณ์ดิจิทัลจำนวนมากยังไม่ได้ก้าวขึ้นสู่ความเชื่อมั่นที่ท้าทายแม้จะมีการสังเกตว่าเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นพื้นฐานของมนุษย์และเหมาะสมกับงานนี้ แทนที่จะให้ประสบการณ์แบบดิจิทัลบ่อยเกินไป "consumerized" สมมติว่าการซื้อคือการซื้อ - การสร้างมากกว่าปั่นมากกว่ามูลค่าของลูกค้า ความเข้าใจที่ควรคำนึงถึง ทุกอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมดิจิทัล แต่เป็นระบบดิจิทัลในลักษณะของตัวเอง แหล่งที่มา
29 พ.ค. 2020
เทรนด์การตลาดออนไลน์ ที่คุณควรรู้ไว้
ลูกค้าของคุณต้องการอะไรลูกค้าของคุณคิดอย่างไรและลูกค้าของคุณมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในแต่ละปีในยุคดิจิตอลเราจะเห็นการเพิ่มขึ้นและการล่มสลายของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแนวโน้มและความทรงจำของสายฟ้าแลบและการเปลี่ยนแปลงความต้องการของลูกค้าที่บังคับให้โลกการตลาดออนไลน์มีวิวัฒนาการ ในฐานะที่เป็นผู้มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมนี้ฉันไม่สามารถช่วยได้ แต่ตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ และเทรนด์ใหม่ ๆ ช่วยรักษาความรู้สึกของฉันไว้ตลอดเวลาและป้องกันไม่ให้งานของฉันน่าเบื่อ ยังคงเป็นเรื่องง่ายสำหรับโอกาสที่จะลื่นในอดีตและบางครั้งก็ยากที่จะคาดเดาได้ว่าแนวโน้มใดจะปรากฏชัดในอนาคตอันใกล้หรือว่าพวกเขาจะพัฒนาได้เร็วเพียงใด ดังนั้นผมจึงชอบที่จะใช้เวลาสิ้นปีในการค้นคว้าและระดมความคิดเพื่อสร้างรายชื่อแนวโน้มที่ผมคิดว่าจะใช้การตลาดออนไลน์ทั่วโลกในปีหน้า นี่คือบางส่วนของแนวโน้มที่สำคัญที่สุดที่ฉันเห็นการพัฒนาในปี 2018 ประสบการณ์ที่ไม่เกี่ยวกับภาพ ไม่มีใครคาดหวังว่าอุตสาหกรรมเครื่องเสียงจะระเบิดขึ้นในปี พ. ศ. 2560 ในปี พ. ศ. 2565 ลำโพงอัจฉริยะคาดว่าจะเป็นส่วนสำคัญในกว่าร้อยละ 55 ของครัวเรือนของสหรัฐและพวกเขาขายได้แล้วกว่า 20 ล้านเครื่องในปีนี้ คนเดียว คนเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับอุปกรณ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันโดยใช้คำสั่งเสียงและฟังกลับไปหาผล ผู้บริโภคเริ่มทยอยใช้อินเตอร์เฟซที่ไม่จำเป็นต้องมีปัจจัยการผลิตทางกายภาพและจะมีผลกระทบอย่างมากต่อวิธีที่นักการตลาดสื่อสารกับพวกเขา ไมโครวินาที Google กำหนดช่วงเวลาสั้นๆ ให้เป็นช่วงเวลาที่กระตุ้นให้ลูกค้าใช้โทรศัพท์มือถือได้ทันทีไม่ว่าพวกเขาจะต้องการเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างไปที่ไหนสักแห่งทำอะไรหรือซื้ออะไร ในปี 2018 แบรนด์ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเรียนรู้ทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาสั้น ๆ เหล่านี้จะมีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จสูงสุด ต้องมีการวิจัยทางด้านประชากรศาสตร์และกลยุทธ์ด้านโทรศัพท์มือถือที่ลึกมากขึ้น แต่ด้วยเครื่องมือใหม่ ๆ ที่เราคิดว่าเราจะเห็นได้ในการพัฒนาแบรนด์ในปัจจุบันจะง่ายขึ้น ข้อมูลขนาดใหญ่ เป็นแนวโน้มที่สำคัญมานานหลายปี แต่ส่วนใหญ่ถูกจำกัด ไว้สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ ด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ขณะนี้มีนักพัฒนาซอฟต์แวร์กว่า6 ล้านคนที่ทำงานเกี่ยวกับโครงการข้อมูลขนาดใหญ่และการเข้าถึงข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเรียนรู้ด้วยเครื่องและ AI ข้อมูลขนาดใหญ่จะมีให้ใช้งานได้มากขึ้นสำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ด้วยแพลตฟอร์มการโฆษณาและวิธีเข้าถึงด้านการตลาดที่มีข้อมูลขนาดใหญ่ลงในโครงสร้างพื้นฐานตามปกติของพวกเขาจะเป็นการยากที่จะสามารถแข่งขันได้หากคุณไม่ได้แตะที่จุดข้อมูลลูกค้าจำนวนหลายพันที่พร้อมใช้งานขนาดใหญ่ การสื่อสารส่วนบุคคล อินเทอร์เน็ตเป็นสถานที่ที่วุ่นวายจึงง่ายต่อการหลงทางในการเล่นสับเปลี่ยน นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมใช้ประสบการณ์เฉพาะตัวของแต่ละบุคคลรวมถึงการสื่อสารแบบตัวต่อตัวกับแบรนด์ เห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการอย่างหมดจดหนึ่งในหนึ่งที่ไม่ยั่งยืน แต่ที่ว่าทำไมแบรนด์ขึ้นจะเปลี่ยนเป็นchatbots เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ Chatbots ได้เริ่มเติบโตขึ้นอย่างชาญฉลาดและสามารถปรับแต่งได้มากขึ้นและได้รับความนิยมมากขึ้นจากแบรนด์และผู้บริโภคเหมือนกัน ในตอนท้ายของปีพ. ศ. 2561 chatbot จะกลายเป็นบรรทัดฐานและเป็นเรื่องจำเป็นในทางปฏิบัติหากคุณต้องการให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ส่วนตัวที่มีขนาดใหญ่ นี่ไม่ใช่แนวโน้มที่เราจะต้องมุ่งหวังในปี 2018 แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันดีที่สุดในปัจจุบัน หากคุณยังไม่ได้ใช้นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการตรวจสอบกลยุทธ์ของคุณ แหล่งข้อมูล
29 พ.ค. 2020
5 เหตุผลที่คุณควรจะทำงานในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยี
อุตสาหกรรมเทคโนโลยีอาจเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีแรงบันดาลใจและสร้างแรงบันดาลใจมากที่สุดในการทำงานในปัจจุบัน ภาคที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ มีโอกาสมากมายสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ นี่คือเหตุผลห้าประการที่ทำให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป็นสถานที่ที่น่าสนใจหากคุณต้องการเริ่มต้นอาชีพและปล่อยให้แบรนด์ของคุณไปทั่วโลก 1. งานที่น่าตื่นเต้นและมีความหมาย หากคุณสนใจที่จะเป็นผู้นำในการค้นคว้าค้นคว้าการพัฒนาและนวัตกรรมแล้วนี่เป็นอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์แบบสำหรับคุณ อุตสาหกรรมที่เปลี่ยนวิธีการทำงานของโลกและความก้าวหน้าค่อนข้างชอบวิธีที่เทคโนโลยีไม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เทคโนโลยีมุ่งเน้นการทำลายพื้นใหม่ด้วยวัฒนธรรมการเคลื่อนไหวการเจริญเติบโตความคิดสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีไม่ใช่แค่การคิดใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการหาวิธีทำให้แนวคิดเหล่านั้นทำงานได้ดีขึ้น แน่นอนว่านั่นหมายความว่ามีปัญหารอการแก้ปัญหาอยู่มากมาย ถ้าคุณรักอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีแนวโน้มที่จะเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับ คุณที่จะมุ่งเน้น skillset 2. เปลี่ยนและพัฒนาตลอดเวลา อุตสาหกรรมดิจิทัลมีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ นายจ้างเทค ยังคงเพิ่มงานใหม่ เนื่องจากที่เคยเพิ่มขึ้นความต้องการใช้ทรัพยากรทุกแผนก ไม่ว่าคุณจะก้าวขึ้นจากผู้พัฒนาเว็บระดับมัธยมต้นถึงระดับสูงหรือจากประสบการณ์ของผู้ใช้ไปจนถึงการประกันคุณภาพการทำงานในระบบดิจิตอลช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้และเติบโตในอาชีพได้อย่างต่อเนื่อง 3. ความหลากหลายของบทบาทและอายุ เมื่อผู้คนคิดถึงบทบาทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีหลายคนคิดเกี่ยวกับผู้จัดทำหรือนักพัฒนาซอฟต์แวร์เท่านั้นจึงมีบทบาทมากมาย บริษัทมีความสนใจมากขึ้นในผู้สมัครที่สามารถแปลคำศัพท์ทางเทคนิคให้กับธุรกิจและมีความสามารถในการรับฟังสิ่งที่บริษัทต้องการ แม้ว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะเป็นอุตสาหกรรม แต่จะซ้อนทับกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เกือบทั้งหมดเนื่องจากความเชื่อมั่นของเราในการเพิ่มเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีทำงานในด้านการแพทย์การเกษตรกรรมการขนส่งพลังงานความบันเทิงการผลิตและแม้กระทั่งอาชีพที่ "ปกขาว" เช่นกฎหมายการธนาคารและบริการทางการเงิน คุณอาจเป็นนักออกแบบเกมหรือนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญสามารถแต่งงานกับความปรารถนาของพวกเขาที่อยู่ในสาขาอื่น ๆ และยังคงเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองโลกในอาชีพของพวกเขา 4. ความยืดหยุ่น ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีคุณมีความยืดหยุ่นในการทำงานและที่ทำงาน ไม่ว่าคุณจะต้องการทำงานให้กับ บริษัท Fortune 500 รายใหญ่ธุรกิจขนาดเล็กหรือต้องการอิสระคุณสามารถค้นหาการตั้งค่าเพื่อตอบสนองความต้องการของคุณ บริษัทด้านเทคโนโลยีกำลังเป็นผู้นำในด้านความสมดุลในชีวิตการทำงาน หลายคนใช้หลักการ 80/20 ซึ่งจะช่วยให้พนักงานสามารถใช้เวลาในการสร้างและพัฒนาโครงการของตัวเองได้ถึง 20% ซึ่งจะช่วยให้พนักงานสามารถปรับสมดุลการทำงานและผลประโยชน์ของตนเพื่อให้มั่นใจได้ว่าอาชีพนั้นสมบูรณ์ 5. ความต้องการสูงและการจ่ายเงินสูง เนื่องจากเทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของสาขาที่แตกต่างกันจำนวนมากจึงไม่ควรแปลกใจเลยว่าผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมักต้องการใช้งานอยู่เสมอ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีค่อนข้างบ่อยในบรรดามืออาชีพที่ได้รับการชำระเงินสูงสุดขององค์กรและอุตสาหกรรมใด ๆ เนื่องจากการมีส่วนร่วมของพวกเขามีคุณค่าและเป็นส่วนสำคัญต่อธุรกิจ ข่าวดีก็คือมีแหล่งข้อมูลออนไลน์มากมายโอกาสในการฝึกอบรมและตำแหน่งที่พร้อมสำหรับการทำงานเหล่านี้เพื่อมุ่งสู่การเป็นมืออาชีพด้านไอที อาชีพในด้านเทคโนโลยีได้เปลี่ยนไปจากชั้นสนับสนุนด้านไอทีที่เสียดสีมากหากคุณมีความหลงใหลในนวัตกรรมข้อมูลการออกแบบหรือทั้งสามอาชีพการงานด้านเทคโนโลยีอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ และทั้งหมดหนี้คือเหตุผลที่พอจะทำให้คุณเข้าใจได้ว่าทำไมคุณถึงต้องมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและ แหล่งที่มา
29 พ.ค. 2020